|              
              คงยังจำกันได้ว่า แพทย์นี่เองที่ทำให้ท่านนายกฯ 
              ซึ่งเคยถูกคนบ่นกันทั้งเมืองว่าไม่ยอมฟังใคร ไม่ว่าจะเป็นนัก
 ฯลฯ 
              ท่านเถียงหมด แต่พอแพทย์ซึ่งรักษาอาการหูอักเสบสั่งให้ท่านหยุดพูดเพื่อจะหยุดการฟัง 
              ท่านนายกฯ ก็เชื่อโดยทันที ไม่มีโต้แย้งว่ารู้ไม่จริง รู้แต่ทฤษฎี 
              แล้วก็แพทย์อีกนั่นแหละที่ข่าวบอกว่า "อนุญาต" ให้ท่านผู้นำของเราเดินทางไปจีนได้ 
              ท่านจึงได้ไป 
                          
              อำนาจของแพทย์มาจากการที่คนทั้งหลายเชื่อว่า 
              เป็น "ผู้รู้" ในสิ่งที่ผู้อื่นส่วนใหญ่ไม่รู้ และความรู้นั้นสามารถดลบันดาลให้มนุษย์พ้นทุกข์จากโรคภัยอันทรมานทั้งกายและใจได้ 
              เป็นอาชีพเดียวที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ตั้งแต่ก่อนเกิดต่อเนื่องไปจนถึงหลังตาย 
              ในสังคมสมัยใหม่ แพทย์ยิ่งขยายอำนาจออกไปอีก จากบทบาทของการเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บ 
              มาสู่การมีอำนาจจากการเป็นผู้กำกับการเกิด การเอาชนะความตาย และเป็น 
              "ผู้จัดการใหญ่" ให้ร่างกายมนุษย์มีรูปลักษณ์และคุณสมบัติตามที่เจ้าของต้องการ 
              เช่น ไม่อ้วน ไม่แก่ ผิวขาว จมูกโด่ง เตะปี๊บดัง ฉลาด จำเก่ง อารมณ์ดี 
              ฯลฯ บทบาทและอำนาจของแพทย์ จึงเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของคนในสังคมสมัยใหม่ทุกชั้น 
              มากยิ่งกว่าอำนาจใด ๆ โดยถูกตั้งคำถาม ตรวจสอบ สงสัยน้อยที่สุดด้วย 
              เพราะคนส่วนมากเชื่อกันว่า แพทย์คือผู้รู้ดีที่สุดในเรื่องจัดการกับชีวิตให้ปกติสุขและเป็นไปตามที่ตนเองต้องการ 
              (ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งที่
)
                          
              ความเชื่อของคนส่วนมากนี้ ตรงกันข้ามกับโลกทัศน์ 
              ความเชื่อของท่านอาจารย์พุทธทาส ดังนั้น ท่านจึงเป็นคนไข้ที่ไม่มอบความวางใจให้ความรู้ของแพทย์อย่างเบ็ดเสร็จเท่าไรนัก 
              พระอุปัฏฐากที่ดูแลรับใช้ใกล้ชิดเล่าไว้ในหนังสือว่า เมื่อนำยาที่แพทย์จัดไว้ไปถวายให้ฉัน 
              ท่านมักจะต้องถามก่อนว่า เป็นยาอะไร กินเพื่ออะไร หรือเมื่อแพทย์สั่งว่า 
              ห้ามฉันอาหารบางประเภท เพราะจะทำให้อาการโรคเก๊าท์กำเริบ ท่านก็จะต้องทดลองก่อนว่าจริงหรือไม่ 
              เมื่อพบว่าจริงก็จะทำตาม และเคยปรารภด้วยว่า แพทย์มักจะพูดขัดกันเอง 
              จนไม่รู้จะเชื่อใคร แสดงว่า ท่านวิเคราะห์ตรวจสอบความรู้ของแพทย์อยู่ตลอดเวลา 
              จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใด ท่านจึงมักจะเลิกฉันยาที่แพทย์แผนปัจจุบันจัดถวายอยู่บ่อย 
              ๆ ในโรคที่ท่านรู้จักหรือมีประสบการณ์ในการรักษามาก่อน เช่น ฉันผักบุ้งรักษาเบาหวานแทนยาที่แพทย์จัดให้ 
              ใช้สมาธิห้ามการไหลของเลือด ฯลฯ โดยยังไม่ต้องกล่าวไปถึงอาหารเสริมสุขภาพสมัยใหม่อีกจำนวนมากที่มีผู้หวังดีนำมาถวาย 
              แต่ท่านไม่เคยฉันเลย เพราะท่านเชื่อว่า สุขภาพที่ดีอยู่ในการดำเนินชีวิตของบุคคลผู้นั้นเป็นสำคัญ
                          
              อย่างไรก็ตาม 
              ท่านมิใช่ผู้ต่อต้านหรือแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับการแพทย์สมัยใหม่ หากจำกัดขอบเขตอำนาจของแพทย์ด้วยท่าทีนิ่มนวล 
              (อ่าน "ท่านอาจารย์พุทธทาส คนไข้ที่ผมได้รู้จัก : บันทึกจากแพทย์ผู้ถวายการรักษา" 
              / น.พ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล) มิให้เกินเลยไปจากโลกทัศน์ ความเชื่อพื้นฐานของท่านอาจารย์ 
              ท่านจึงเป็นผู้เลือกและตัดสินใจว่า จะให้แพทย์มีอำนาจในการรักษามากน้อยเพียงใด 
              ซึ่งท่านสามารถทำเช่นนี้ได้ มิใช่เพราะท่านอาจารย์มีความรู้ในการรักษาแบบพื้นบ้านเป็นอีกทางเลือกเท่านั้น 
              หากที่ลึกและสำคัญไปกว่านั้น คือ รากฐานความเชื่อทางพุทธศาสนาที่ว่า 
              ชีวิตของมนุษย์นั้นปกติสุขได้จากการ "ปฏิบัติธรรม" ของบุคคลผู้นั้น 
              มิได้เกิดจากแพทย์หรือบุคคลอื่นใด โดยคำว่า "ปฏิบัติธรรม" 
              ในที่นี้ หมายถึงการทำหน้าที่หรือมีวิถีชีวิตที่สอดคล้องไปกับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ 
              (ธรรม) ได้แก่ กินอยู่พอเพียงอย่างเหมาะสมกับวัย ระบบนิเวศ (ฤดูกาล 
              ผลผลิต ฯลฯ) ทำงาน ออกกำลังกาย มีความสัมพันธ์อันดีกับสรรพชีวิตอื่นและธรรมชาติ 
              ซึ่งตรงกับข้อเท็จจริงที่ว่า โรคสมัยใหม่ที่คร่าชีวิตหรือทำลายสุขภาพของคนเป็นอันมากในปัจจุบัน 
              เกิดจากการละเลยต่อการปฏิบัติธรรมโดยนัยนี้ ไม่ว่าโรคมะเร็ง หัวใจ 
              ไต เบาหวาน ตับแข็ง อุบัติเหตุ ฯลฯ คือกินอยู่ไม่เหมาะสม ไม่พอเพียง 
              (จนไปก็เกิดโรค รวยไปก็เกิดโรค) เครียด ทุกข์ใจในชีวิต ประมาทและโรคจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ 
              ฯลฯ
                          
              ในโลกทัศน์ของชาวพุทธ 
              สุขภาพที่ดีของมนุษย์ จึงมิได้เกิดจากการดลบันดาลของแพทย์เป็นหลักใหญ่ 
              หากเกิดจากการกระทำ (กรรม) ทั้งทางกาย วาจา ใจและการเรียนรู้ของบุคคลผู้นั้นต่อการกระทำของตนเองและผู้อื่น 
              (สังคม ระบบนิเวศ) รวมทั้งอยู่ภายใต้วัฏฏะแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย 
              อันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ตามกาลเวลาอันควร ความชราและความตายจึงมิใช่สิ่งน่ากลัว 
              ที่จะต้องไปต่อสู้หรือวิ่งหนีเพราะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ด้วยความเชื่อนี้ 
              แพทย์จึงมีอำนาจอันจำกัดขอบเขต และถูกกำกับบทบาทด้วย "ธรรม" 
              เป็นเพียงผู้มาช่วยในภาวะที่กระบวนการตามธรรมชาติทำการเยียวยาไม่ได้-ไม่ทันการ 
              หรือสร้างความทรมานมากและมีผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่เสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็น 
              (หูอักเสบของนายกฯ ก็อยู่ในกรณีนี้) แพทย์จึงมีความสำคัญอย่างแน่นอน 
              แต่มิใช่ผู้มีอำนาจสร้างหรือชี้ขาดสุขภาพที่ดีของบุคคลโดยลำพัง หรือเป็นผู้มีอำนาจนำมนุษย์ออกจากความกลัวแก่-กลัวตาย 
              กลัวไม่สวย ฯลฯ ได้อย่างแท้จริงและโดยสงบ
                          
              ช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตของท่านอาจารย์พุทธทาส 
              คือการแสดงโลกทัศน์ดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม ในวัย ๘๗ พรรษาท่านปฏิเสธที่จะ 
              "หอบสังขารหนีความตาย" ด้วยการแพทย์สมัยใหม่ และปฎิเสธวิธีการรักษาสุขภาพ 
              หรือต่อชีวิตด้วยวิธีการอันใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย ท่านเคยปรารภกับพระผู้ใกล้ชิดว่า 
              ไม่ควรนำทรัพยากรจำนวนมากมายมารักษาท่านซึ่งอายุมากแล้วเพียงคนเดียว 
              เพราะมีผู้ต้องการและจำเป็นใช้และควรได้ใช้มากกว่าท่านอยู่อีกมาก 
                          
              วิธีคิดทางสุขภาพแบบพุทธ 
              จึงเชื่อมโยงไปถึงวิธีการจัดการสุขภาพ และระดับการใช้ทรัพยากร อย่างคำนึงถึงความสัมพันธ์กับสรรพชีวิตและปัจจัยอื่น 
              ๆ ในโลกใบนี้ด้วยเสมอ ทำให้การแพทย์นำมาซึ่ง "สาธารณสุข" 
              หรือความสุขของคนหมู่มากได้จริง เพราะทุกคน ทุกส่วน ทุกสิ่งในชีวิต 
              สังคม ธรรมชาติเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทั้งหมด มิใช่ "สาธารณทุกข์" 
              เพราะมี "ผู้รู้" และใช้อำนาจจากความรู้นั้นตัดสินใจ กำกับและจัดการอยู่โดยลำพัง 
              เพราะ "อำนาจ" บนโลกทัศน์ที่ผิดพลาด ย่อมนำมาซึ่งการเอารัดเอาเปรียบเสมอ 
              ทั้งในระดับชีวิต สังคม และระบบนิเวศ.
             
 หมายเหตุ : บทความ  พุทธทาสกับอำนาจในสังคมสมัยใหม่ 
                 
              มี ๒ ตอน คือ อำนาจเงิน, 
               อำนาจแพทย์ 
 |