อย่ารังเกียจความขัดแย้ง
โดย สุวลี
********************************
ประสบการณ์สะสมความฉลาด
ประสบการณ์เป็นข้อมูลดิบของภาคปฏิบัติ
ไร้ประสบการณ์ โอกาสฉลาดก็ย่อมหมดไป
ขณะเดียวกันประสบการณ์ย่อมหมายถึง ความผิดหวัง - ความสมหวัง
หมายถึง...ความสุข และ ความทุกข์ ผ่านร้อน ผ่านหนาว
จึงเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ผู้เกิดตามหลังยอมรับ
น่าเสียดายที่ข้อมูลด้านความสุขมักจะทำให้มัวเมา อ่อนแอ ไม่อดทน
มีบ้างไม่เป็นไร... แต่มีบ่อยชีวิตจะไปไม่รอด
เมื่อเรียนหนังสือ ครูที่จะทำให้เราจำได้ดีที่สุดก็คือ ครูดุที่ถือไม้เรียว ความอ่อนแอทำให้คนเราเลือกสิ่ง
ที่อ่อนแอ จึงมักหนี มักหลบเลี่ยง หรื้อแม้กระทั่งจัดการกับฝ่ายตรงข้าม..!
สภาวะยิ่งใหญ่ของโลกมนุษย์มี แค่ ๒ สภาวะ
พรัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ประสบกับสิ่งไม่รักก็เป็นทุกข์
มัวแต่วิ่งหนี ไม่มีวันชนะ การเข้าเผชิญกับปัญหานั่นแหละสุดยอดยุทธศาสตร์
เมื่อเริ่มรบ เราก็จะเริ่มแกร่ง..!
ทำใจลำบาก ก็เพราะไม่หัดทำใจ
หลาย ๆ เรื่องในโลก อาจต้องจำพรากวัตถุ แต่หลาย ๆ เรื่องมากกว่านั้น เป็นเรื่องแก้ไขไม่ได้
ต้องทำใจ การทำใจก็ต้องอาศัยการฝึกทำซ้ำบ่อย ๆ
"อย่ารังเกียจความขัดแย้ง" อยู่กับหมู่ อยู่กับคนมาจากหลากหลายสายธาร กินไม่เหมือนกัน
คิดไม่เหมือนกัน ความขัดแย้งย่อมเป็นเรื่องปกติ รังเกียจความขัดแย้ง จึงเหมือนนักเรียนขี้เกียจเรียนหนังสือ..!
เมือมนุษย์ ๒ คน ขึ้นไป สังสรรค์ ร่วมกิจกรรม ความคิด การกระทำย่อมแตกกระจาย ความเป็น
เอกภาพเริ่มสูญหาย
จิตใจเอย.. จะสงบได้อย่างไร..!
เรื่องใหญ่ของเราเป็นเรื่องเล็กของเขา
เรื่องเล็กของเขา เป็นเรื่องใหญ่ของเรา
สิ่งที่เขาคิดว่าถูก เรากลับคิดว่าผิด
สิ่งที่เราคิดว่าผิด เขากลับคิดว่าถูก..!

ไม่มีอะไรเหมือนกัน ความแตกต่างจึงเป็นเรื่องปกติของสากล ของจักรวาล
จะจัดการอย่างไรกับความแตกต่าง หรือความขัดแย้ง หาร ๒ หาร ๓ หรือยกให้เขาหมด หรือรวบ
เป็นของเราหมด ก็สุดแต่วิธีการ เผด็จการทางความคิด เป็นเรื่องของการรวบอำนาจ เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจในหมู่คน
ที่ชอบกิจกรรม
"รังเกียจความขัดแย้ง" ก็เหมือนรังเกียจคราบไคลในเนื้อตัวเรา สิ่งที่มีก็คือมี อยู่ที่ว่าจะทำอย่างไร
กับสิ่งที่ขัดแย้งให้สร้างสรร
ใช้เสียงส่วนใหญ่ หรือให้ผู้ใหญ่ตัดสินก็หลากหลายวิธีการ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น "อย่ารังเกียจ
ความขัดแย้ง" เตือนตน เตือนใจ
ความขัดแย้งเป็นเรื่องของการพัฒนาความคิด เป็นความก้าวหน้าขององค์กร.. ของชีวิต
สังคมไทยมีปัญหาเพราะจิตใจคนคับแคบ ต่างคนก็ต่างเอาแต่ใจ
ฉันจะเอาอย่างนั้น..! กูจะเอาอย่างนี้..!
จะไม่โกรธ จะไม่เคือง ก็ต้องใจกว้างยอมรับความจริง เคารพความคิดของทุกคน ภูมิหลังของคนเรา
ต่างกัน การศึกษาต่างกัน สมองคนละก้อน แล้วจะให้ใคร ๆ มาคิดเห็นเหมือน ๆ กันได้อย่างไร
"อย่างรังเกียจความขัดแย้ง" เตือนตน หน่วยงานพลันจะสว่างไสว เมื่อแก้ไขได้ ความอึดอัด
ขัดเคืองจะจางลง ต่างคนต่างก็จะทำงานด้วยความสุข ทุกคนมีอิสรภาพ พูด เสนอสิ่งที่ตัวเองเห็น ไม่ต้องคับแค้น
ในความคิด ประชาธิปไตยในที่ทำงานก็จะเบ่งบานในบันดล
ใจที่เปิดกว้าง ย่อมมีโอกาสเติมรับสิ่งใหม่ ๆ
ใจที่คับแคบ ย่อมเป็นประดุจน้ำชาล้นถ้วย
ฉลาดหรือโง่ ตนเองเป็นคนลิขิตจริง ๆ
"ความขัดแย้ง" ไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากแต่เป็นธรรมชาติของมนุษย์เราเมื่อ
ทำงานด้วยกัน
ไม่ถือสา ไม่ขุ่นเคือง แต่นำความคิดเห็นทั้งหลายมากลั่นกรองให้เป็นเอกภาพ
คนอาภัพนั้น มิใช่คนจนหรือกระยาจก แต่ที่เจ็บปวดกว่านั้น ก็คือ คนที่ทำใจไม่ได้เมื่อมีใครไม่
เห็นด้วยกับเรา
เมื่อฉันชี้นิ้ว แปลว่าทุกคนต้องเดินตาม แต่เราจะใหญ่ปานนั้นได้ทุกขณะหรือไม่ ? อย่างจริงจังกับ
ความคิดของตัวเอง อย่าหลงคิดว่าความคิดเห็นของตัวเอง "ถูกต้องที่สุด เป็นคำตอบสุดท้าย..! " มิเช่นนั้น
ปราชญ์โบราณ ท่านพยากรณ์ไว้ ไม่พ้น "หมาขี้เรื้อน" เจ็บปวดบาดแผลวันแล้ววันเล่า..!
แม้เพียงแค่ลมพัดผ่าน
เพื่อความสุขสงบของจิตวิญญาณ
เพื่อการทำงานอย่างมีความสุข ทั้งของตัวเองและเพื่อน
เพื่อปัญญาญาณที่จะติดตัวไปตลอดภพ ตลอดชีวิต
ขอบอกว่า "อย่ารังเกียจความขัดแย้ง" เลย... นี้คือ
นี้คือ ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมเพียงแค่เปิดใจยอมรับ แล้วพากเพียร
พยายามฝึกหัดทำให้เก่งเท่านั้นเอง..!
*****************************************
กลับไปหน้าแรก