|  ความหมาย
            
                  ปีใหม่ 
              เป็นเรื่องของวันเดือนหมุนเวียนมาบรรจบครบรอบ ๓๖๕ วัน หรือ ๑๒ เดือน 
              ซึ่งสมมติกันว่าปีหนึ่งหมดไป ขึ้นวันเดือนใหม่ของอีก ปีหนึ่ง ก็เรียกกันว่าปีใหม่ 
              แล้วเปลี่ยนนักษัตรประจำปีใหม่ปี ชวด ฉลู ขาล เถาะ เป็นต้น และเปลี่ยนพุทธศักราช 
              (พ.ศ.) ใหม่ ความเป็นมา            
                  ประเพณีปีใหม่ของไทยสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ 
              ตั้งแต่ รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕ ตอนต้น ถือวันทางจันทรคติขึ้น 
              ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวันขึ้นปีใหม่ ในพระราชพีธีสิบสองเดือนพระราชนิพนธ์ 
              พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความว่าพระราชพิธีขึ้นปีใหม่ 
              วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 
              ๔ ทรงพระราชดำริว่าในกฎมนเทียรบาล มีการสมโภชและเลี้ยงลูกขุน ซึ่งตรงกับการเลี้ยงโต๊ะอย่างฝรั่งจึงทรงกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลขึ้นเวลาเช้า 
              มีการพระราชกุศลสดับปกรณ์ พระบรมอัฐิ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย 
              เวลาค่ำเชิญพระสยามเทวาธิราชและเชิญเจว็ดรูปพระภูมิเจ้าที่จากหอแก้วออกมาตั้งที่บุษบกมุขเด็จพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทตั้งเครื่องสังเวยที่พื้นชาลาหน้ามุขเด็จ 
              ตั้งพระราชอาสน์ที่ประทับ ณ ศาลาคต มีละครหลวงแสดง และตั้งโต๊ะพระราชทานเลี้ยง            
                  ครั้งต่อมาในรัชกาลที่ 
              ๕ ได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นทางสุริยคติ ถือวันที่ ๑ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่และโปรดให้ใช้รัตนโกสินทรศก 
              ในการนับปี ตั้งแต่ ร.ศ. ๑๐๘ เป็นต้นมา สำหรับพระราชพิธีปีใหม่ นั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
              ให้พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าเสด็จ เข้าไปรับพระราชทางเลี้ยง ณ ท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทพระราชทานฉลากแก่พระบรมวงศานุวงศ์ 
              และข้าราชการบางคน ครั้นพระราชทานสิ่งของตามฉลากแล้วเสด็จพระราชดำเนินมาที่ชาลาหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท 
              ทอดพระเนตรละครหลวงแล้วเสด็จฯ กลับ            
                  ส่วนวันขึ้น 
              ๑ ค่ำ เดือน ๕ ซึ่งเป็นวันพระราชพิธีขึ้นปีใหม่ใน รัชกาลที่ ๔ นั้นกำหนดเป็นพระราชพิธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราชตลอดมาจนทุกวันนี้ถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 
              ๖) ทรงพระกรุณโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พุทธศักราชแทนรัตนโกสินทรศก ตั้งแต่ 
              พ.ศ. ๒๔๕๕ และต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๖ โปรดให้รวมพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์เถลิงศกสงกรานต์พระราชพิธีศรีสัจจปานกาลถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเข้าด้วยกันเรียกว่าพระราชพิธีตรุษสงกรานต์ 
              เริ่มการพระราชพิธีตั้งแต่วันที่ ๒๘ มีนาคม ถึงวันที่ ๓ เมษายนการพระราชพิธีในวันที่ 
              ๒๘ มีนาคมเรียกว่าตั้งน้ำวงด้ายมีพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และสวดภาณวารในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย 
              วันที่ ๒๙ มีนาคม เลี้ยงพระ อ่านประกาศสังเวยเทวดา สวดอาฎานาฏิยสูตร 
              ยิงปืนมหาฤกษ์ มหาชัย มหาจักรี มหาปราบยุค วันที่ ๓๐ มีนาคม พระราชทานน้ำพระมหาสังข์ทรงเจิมแก่พระราชวงศ์ 
              วันที่ ๓๑ มีนาคม พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์วันที่ ๑ เมษายน เสด็จสรงน้ำพระบรมอัฐิและพระอัฐิ 
              ณ หอพระธาตุมณเฑียร เลี้ยงพระ ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย สรงมูรธาภิเษกที่ชานหน้าพระที่นั่งจันทรทิพโยภาส 
              (พระที่นั่งราชฤดีในปัจจุบัน) ถ้ามีพระราชวงศ์จะ โสกันต์ก็กำหนดในงานพระราชพิธีนี้สดับปกรณ์พระบรมอัฐิและ 
              พระอัฐิ เวลาบ่ายมีงานอุทยานสโมสร กระทรวงวังจัดที่ลงพระนาม และนามถวายพระพร 
              วันที่ ๒ เมษายน เสกน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสนาราม 
              แล้วเสด็จฯ ไปสรงน้ำ พระพุทธรูปที่หอราชพงศานุสร หอราชกรมานุสร พระศรีรัตนเจดีย์พระมณฑป 
              หอพระคันธารราษฎร์และพระวิหารยอด แล้วสดับ ปกรณ์พระบรมอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้าและพระอัฐิพระบรมวงศานุวงศ์ที่หอพระนากเวียนเทียนสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร 
              วันที่ ๓ เมษายน พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา 
              ถือน้ำแล้วไปถวายบังคมพระบรมอัฐิ สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า 
              ที่หน้าพระที่นั่งสนามจันทร์ ในกำแพงแก้วพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย            
                  ครั้นต่อมาในรัชกาลที่ 
              ๘ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ใน พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล 
              ได้ประกาศให้ใช้วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะวันที่ ๑ มกราคม 
              ใกล้เคียงวันแรม ๑ ค่ำเดือนอ้าย เป็นการใช้ฤดูหนาวเริ่มต้นปี และเป็นการสอดคล้องตามจารีตประเพณีโบราณของไทยต้องตามคติแห่งพระบวรพุทธศาสนาและตรงกับนานาประเทศ 
              โดยให้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นต้นไป จึงได้กำหนดการพระราช พิธีขึ้นปีใหม่ มีรายละเอียดดังนี้            
                  วันที่ 
              ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ เวลา ๑๖ นาฬิกา ๓๐ นาที คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มายัง 
              พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ วันที่ ๑ มกราคม 
              พ.ศ. ๒๔๘๔ เวลา ๑๐ นาฬิกา ๓๐ นาที คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปสรงน้ำพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรที่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้วมายัง 
              พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระสงฆ์รับพระราชทานฉันแล้วสดับปกรณ์ ผ้าคู่พระบรมอัฐิสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช 
              พระอัฐิสมเด็จพระบรมวงศ์วันนี้มีการลงชื่อถวายพระพรที่ในพระบรมมหาราชวัง 
              ตั้งแต่ เวลา ๑๐ นาฬิกาถึง ๑๖ นาฬิกาวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เวลา 
              ๙ นาฬิกา คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปสรงปูชนียวัตถุ คือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรและพระพุทธรูปสำคัญ 
              แล้วสดับปกรณ์ผ้าคู่พระบรมอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรและพระอัฐิพระราชวงศ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 
              เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๐ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์โปรดให้ยกการพระราชกุศลสดับปกรณ์ผ้าคู่ในวันขึ้นปีใหม่ไปใช้ในพระราชพิธีสงกรานต์ 
              ซึ่งฟื้นฟูขึ้นใหม่ตามโบราณราชประเพณีซึ่งเป็นเทศกาล สงกรานต์ในวันที่ 
              ๑๓ - ๑๔ - ๑๕ เมษายน            
                  ต่อมา 
              พ.ศ. ๒๕๐๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้งดการ พระราชกุศลสวดมนต์เลี้ยงพระในวันขึ้นปีใหม่ 
              เปลี่ยนเป็นเสด็จออก ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทรงบาตรวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 
              ๒๕๐๑ มีรายละเอียดดังนี้วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
              และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินโดย รถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐานพระราชวังดุสิตไปพระบรมมหาราชวังทรงจุดธูปเทียนถวายนมัสการพระพุทธปฏิมาที่พระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตรภายในท้องพระโรงเวลา 
              ๗ นาฬิกา เสด็จฯลงยังสนามหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยแล้วทรงบาตรพร้อมด้วย 
              พระบรมวงศานุวงศ์ องคมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ทุกกระทรวง ทบวง 
              กรมโดยจัดเป็นสาย ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศานุวงศ์ 
              ๕๐ รูปนอกนั้นสายละ ๒๕ รูป รวมพระสงฆ์ ๓๐๐ รูป เสร็จแล้วเสด็จฯ ขึ้น 
              งานนี้แต่งเครื่องแบบปรกติขาว งานนี้มีสังข์ แตร ปี่พาทย์ ประโคม บรรเลงตั้งแต่เสด็จทรงจุดเทียนจนเสด็จขึ้นวันนี้ 
              เวลา ๙ นาฬิกา จนถึงเวลา ๑๗ นาฬิกา สำนักพระราชวัง จะได้จัดที่สำหรับลงพระนามและนามถวายพระพรไว้ที่พระบรมมหาราชวัง            
                  ครั้ง 
              พ.ศ. ๒๕๐๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนการ พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทรงบาตรขึ้นปีใหม่ 
              ในวันที่ ๑ มกราคมเป็นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ซึ่งเป็นวันสิ้นปีต่อมาในปี 
              พ.ศ. ๒๕๑๘ พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ทรงบาตรขึ้นปีใหม่ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
              ให้จัดเป็นงาน ส่วนพระองค์ ณ พระราชฐานที่ประทับพิธีของราชการและประชาชนสำหรับงานของทางราชการและประชาชนในวันขึ้นปีใหม่ก็จะมีตั้งแต่คืนวันที่ 
              ๓๑ ธันวาคม จนถึง วันที่ ๑ มกราคมเช่นเคยยึดถือมาเดิมคือในวันสิ้นปี 
              หรือวันที่ ๓๑ ธันวาคม ทางราชการหรือประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ จัดให้มีการรื่นเริง 
              และมหรสพมีพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพรปีใหม่ 
              แก่ประชาชน สมเด็จพระสังฆราชประทานพรปีใหม่แก่พุทธศาสนิกชนและบุคคลสำคัญของบ้านเมือง 
              เช่น ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี ประธาน ศาลฎีกากล่าวคำปราศรัย พอถึงเวลา 
              ๒๔.๐๐ น. วัดวาอารามต่างๆ จะจัด พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ย่ำฆ้อง กลอง 
              ระฆัง เพื่อแสดงความยินดีต้อนรับรุ่งอรุณแห่งชีวิตของประชาชนในปีใหม่โดยทั่วกัน 
              ตอนเช้าวันที่ ๑ มกราคมก็จะมีการทำบุญตักบาตรสุดแท้แต่การจัด บางปีมีการจัดร่วมกัน 
              บางปีบางท้องที่ก็ไปทำบุญตักบาตรกันที่วัด หรือที่ใดๆ บางท่านบางครอบครัวก็มีการทำบุญตักบาตร 
              หรือการทำบุญเลี้ยงพระที่บ้านที่สำนักงานของตน วัดท่าไทร 
              จัดให้มีพิธีเค้าท์ดาวน์นับถอยหลัง ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ เป็นประจำทุกปี            
                  วัดท่าไทร 
              ร่วมกับประชาชนพุทธบริษัท จัดให้มีพิธีเค้าท์ดาวน์นับถอยหลัง ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ 
              เป็นประจำทุกปี ในวันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี โดยเริ่มพิธีตั้งแต่เวลา 
              ๒๓.๐๐ น. เป็นต้นไป จนกระทั่งเสร็จพิธี(ประมาณ ๐๐.๓๐ น. ของวันที่ 
              ๑ มกราคม) เพื่อเป็นการอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามวิถีพุทธของไทย 
              ร่วมเจริญจิตภาวนาฝึกอบรมจิตใจ เสริมสร้างบารมีธรรม เพิ่มสิริมงคล 
              เสริมดวงชะตาให้แก่ชีวิต รับพร รับสิริมงคล และรับน้ำพระพุทธมนต์จากพระสงฆ์ 
              โดยมี พระเดชพระคุณ พระเทพพิพัฒนาภรณ์ (พระมหาชูชาติ) เจ้าอาวาสวัดท่าไทร 
              และเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานสงฆ์ ณ ศาลาการเปรียญวัดท่าไทร 
              ต.ท่าทองใหม่ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี 
 วันที่ 
              ๑ มกราคม ของทุกปี ตั้งแต่เวลา ๐๗.๐๐ น.เป็นต้นไป เริ่มประกอบพิธีทำบุญตักบาตรต้อนรับปีใหม่ 
              (ตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้ง) ณ บริเวณวัดท่าไทร เพื่อเสริมสร้างบารมีธรรม 
              เพิ่มสิริมงคล และเสริมดวงชะตาให้แก่ชีวิต เนื่องในวันปีใหม่ เริ่มปีใหม่ด้วยบุญกุศลหนุนนำส่งให้ชีวิตมีความสุข 
              สดชื่น สมหวัง ประสบแต่สิ่งอันพึงปรารถนา และเจริญรุ่งเรืองตลอดปี 
              และตลอดไป โดยมีประชาชนพุทธบริษัทเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวมากมายทุกปี
 
 ข้อมูลที่ควรอ่านเพิ่มเติม.-
 
  วันขึ้นปีใหม่   
  ต้อนรับปีใหม่ด้วยวิถีพุทธ  
  สวดมนต์ปีใหม่ 
 |