ท่านสาธุชน
ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย
การบรรยายประจำวันเสาร์แห่งภาคมาฆบูชาเป็นครั้งที่
๑๒ ในวันนี้ อาตมาก็ยังคงกล่าวเรื่อง สมถวิปัสสนาสำหรับยุคปรมาณูต่อไปตามเดิม
; แต่มีหัวข้อย่อยเฉพาะในการกล่าวครั้งนี้ว่า
ธรรมสัจจะของสมถวิปัสสนาแห่งยุคปรมาณู
การบรรยายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรื่อง
และของภาคมาฆบูชา จึงอยากจะกล่าวสรุปข้อความทุกแง่ทุกมุมของเรื่องนี้
ในลักษณะปริทรรศน์ แต่เนื่องจากจะกล่าวให้เห็นโดยชัดเจนเจาะจงลงเป็นเรื่องๆ
ก็เรียกว่า ธรรมสัจจะคือแง่หนึ่งมุมหนึ่ง ที่จะต้องมองให้ลึกซึ้งถึงที่สุด
ว่ามันเป็นอย่างไร ดังนั้นก็ถือโอกาสกล่าวในลักษณะของอริยสัจจ์ ๔ ประการ
ซึ่งมีหลักว่า จะต้องตั้งปัญหาขึ้นมาว่า มันคืออะไร มันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด
มันเพื่อประโยชน์อะไร และมันจะสำเร็จตามนั้นได้อย่างไร
ธรรมะในรูปแบบที่เรียกว่าสำหรับยุคปรมาณู
ธรรมะในรูปแบบที่เรียกว่าสำหรับยุคปรมาณูนี้
ก็เป็นการเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์แห่งยุคปรมาณูของคนทุกคน ทั้งในแง่ของสงครามและในแง่ของสันติภาพ
และในแง่ของพุทธบริษัท โดยทั่วไป
ที่ว่าในแง่ของสงคราม
นั้นหมายความว่า ถ้ามันเกิดสงครามปรมาณูขึ้นมา เราจะมีธรรมะอะไรสำหรับจิตใจที่จะต่อสู้กับโทษอันร้ายกาจ
พิษภัยอันร้ายกาจของสงครามนั่น
ในแง่ของสันติภาพก็หมายความว่าเมื่อมันยังไม่เกิดสงคราม
เราควรจะมีความรู้อย่างไรในเรื่องนี้ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ยังเป็นสันติภาพแห่งยุคปรมาณู
และที่ว่าในแง่ของพุทธบริษัททั่วไปนั้น
หมายความว่า ถ้าเราจะเป็นพุทธบริษัทกันอย่างถูกต้อง ไม่ให้เสียทีที่เป็นพุทธบริษัทแล้ว
; เราจะต้องมีความรู้ในเรื่องนี้และปฏิบัติกันอย่างไร
จึงจะไม่เสียหน้า เสียชื่อ เสียเกียรติเสียอะไรของพุทธบริษัท ซึ่งจะต้องไม่ลืมว่า
เป็นผู้รู้. เป็นผู้ตื่น และ เป็นผู้เบิกบาน.
เดี๋ยวนี้เขาทำอะไรกันได้บ้างที่เรียกว่า
ยุคปรมาณู?
เขาไปดูดวงดาว
ดวงจันทร์ มาจากเบื้องหลังของดวงดาว ดวงจันทร์ก็ได้ คือเขาไปพ้นไปจากดวงดาวและดวงจันทร์
แล้วย้อนดูมาทางดวงดาวและดวงจันทร์อย่างนี้เขาก็ยังทำกันได้แล้ว มันไม่เหมือนยุคโบราณแล้วเดี๋ยวนี้เขามียานพาหนะสำหรับจะกระโดดแผล็วๆ
ไปที่นั่นไปที่นี่ อย่างไปรอบโลกกันได้ ก็ในไม่กี่ชั่วโมง อย่างนี้เป็นต้น,
มันเปลี่ยนมากถึงอย่างนี้.
เราจะต้องมีอะไรในทางจิตใจ ที่จะเหมาะสมสำหรับความก้าวหน้าของมนุษย์ในโลกถึงขนาดนี้
ที่มันจะมีมาก็คือว่า
ความก้าวหน้ามากเช่นนี้ มันย่อมให้เกิดผลที่แปลกประหลาด หรือรุนแรงมากพอๆ
กัน ; จะเรียก ภาษาธรรมะ เขาก็เรียกว่า อติมหันตารมณ์
ที่เป็นความทุกข์นานาชนิด ; อติ แปลว่า อย่างยิ่ง,
มหันตะ ก็แปลว่า ใหญ่, อารมณ์
ก็แปลว่า สิ่งที่จะรู้สึกหรือกระทบ ;
มันจะเป็นสิ่งที่มากกระทบอย่างใหญ่ยิ่งแก่จิตใจในรูปแบบของความทุกข์
ทำไมไม่มองกัน
ในแง่ของความสุข? ก็เพราะมันยังมองไม่เห็น,
มันยังไม่มีทางจะมอง ว่าการที่พัฒนาก้าวหน้าในทางที่ทำให้คนลุ่มหลงความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางอายตนะนี้
มันมองไม่เห็นทางของสันติสุข. แม้ว่าเดี๋ยวนี้กำลังสนุกสนานเอร็ดอร่อยกันอยู่ก็ตาม,
เพราะว่าอารมณ์ชนิดนี้มันส่งเสริมกิเลส มันสนองกิเลส,
มันสนองกิเลสแห่งความเห็นแก่ตัว,
ความเห็นแก่ตัวมันมากถึงที่สุดแล้ว
มันก็มองไม่เห็นสันติภาพ
ฉะนั้นเราจึงมองเห็นแต่ในทางที่ไม่พึงปรารถนา,
ไม่น่าปรารถนา ; มันจะเป็นวิกฤติการณ์
คือตรงกันข้ามจากสันติภาพ, แล้วก็จะเนื่องกันเป็นสายไม่ขาดตอน
จึงเรียกว่ามันเป็น อติมหันตารมณ์ คำแปลกสำหรับคนทั่วไป, แต่คำธรรมดาในภาษาธรรมะ.
อารมณ์ใหญ่ยิ่ง หมายความว่ามันครอบงำจิตใจใหญ่ยิ่ง,
คือความรู้สึกที่มันมากเหลือประมาณนั่นเอง. อารมณ์เล็กๆ ผ่านมามันก็ไม่มีความหมายอะไร,
เดี๋ยวมันก็ลืม ; แต่ถ้ามันเป็นอารมณ์ใหญ่
และใหญ่ยิ่ง นี่มันยากที่จะลืม ; เพราะมันบีบคั้นมาก,
เพราะมันทำลายมาก, เพราะมันให้ความทุกข์มาก.
แล้วมันอยู่ในลักษณะที่เรียกในภาษาธรรมะอีกเหมือนกัน คือเรียกว่า อมาตาปุตติกภัย
ฟังประหลาดๆ หรือแปลกอีกแล้ว.
อ
- มาตา - ปุตติก - ภัย , - ภัยซึ่งทำให้ไม่มีความเป็นบิดามารดา
; เอาเนื้อความก็คือว่าภัยที่บุตรกับบิดามารดาก็ช่วยอะไรกันไม่ได้
คือเมื่อเกิดภัยอันนี้ขึ้นมาแล้ว บุตรกับมารดาไม่สามารถจะทำประโยชน์อะไรให้แก่กัน,
ไม่สามารถจะช่วยกันและกันได้. ตามธรรมดาก็หมายถึงความทุกข์อันเกิดมาจากความเกิดแก่
เจ็บ ตาย ซึ่งแม่ก็ช่วยลูกไม่ได้ ลูกก็ช่วยแม่ไม่ได้ ,
พ่อก็ช่วยลูกไม่ได้, ลูกก็ช่วยพ่อไม่ได้,
นับว่าเป็นภัยเหลือประมาณและเด็ดขาด. แต่มาในบัดนี้เรามีภัยภายนอก
เป็นอันตรายภายนอกชนิดที่ลูกก็ช่วยแม่ไม่ได้ แม่ก็ช่วยลูกไม่ได้ ;
ก็หลับตาดูเอาเองก็แล้วกันว่า ถ้าว่าระเบิดปรมาณูมหาภัยมันลงมา
แล้วใครช่วยใครได้เล่า ; มันกลายเป็นฝุ่นกันไปทั้งหมดแล้ว
ใครจะช่วยใครได้. นี่มันก็มีค่าเท่าๆ กันกับคำว่า ช่วยกันไม่ได้ในเรื่องของความเกิด
แก่ เจ็บ ตาย.
ธรรมะช่วย
ก็หมายความว่าพระพุทธเจ้าช่วย
ในยุคปรมาณูนี้มันจะมีภัยอันใหญ่หลวงเมื่อไรก็ได้ชนิดที่แม่ก็ช่วยลูกไม่ได้,
ลูกก็ช่วยแม่ไม่ได้, มีก็เหมือนกับไม่มี
อย่างนั้นแหละ. ทีนี้ใครจะช่วย? อะไรจะช่วย?
อาตมาคิดว่า ธรรมะจะช่วย; ธรรมะช่วย
ก็หมายความว่าพระพุทธเจ้าช่วย, ธรรมะนั่นแหละจะช่วย;
เพราะฉะนั้นเตรียมธรรมะไว้สำหรับช่วยในภัยอันตราย
ที่แม้แต่แม่และลูกแสนจะรักซึ่งกันและกันก็ช่วยกันไม่ได้. ขอให้เตรียมตัวไว้สำหรับจะไม่ร้องไห้ก็พอแล้ว
อย่าถึงกับว่าจะเตรียมตัวไว้หัวเราะเลย ไม่มีใครเชื่อดอก,
เพียงแต่เตรียมตัวสำหรับจะไม่ร้องไห้เมื่อภัยนี้มาถึง
ก็ดูจะวิเศษเหลือประมาณแล้วไม่ต้องพูดว่าฉันจะหัวเราะ
ถ้าว่ามีธรรมะนี้มากจริง,
มากจริง อาตมาคิดว่าหัวเราะได้. คนที่มีธรรมะสูงเพียงพอจริงๆ
มันก็หัวเราะได้ในทุกกรณี, ในทุกกรณี หมายความว่าในทางวิบัติวินาศหรือในทางได้สมบัติอย่างยิ่ง
;
ก็หมายความว่าหัวเราะได้ทั้งในเรื่องที่ชวนให้ยินดีและเรื่องที่ชวนให้ยินร้าย.
เดี๋ยวนี้เราชาวบ้านนี้ไม่เอากันถึงขนาดนั้นดอก
; เอาแต่เพียงว่าเมื่อยังไม่ตายน่ะอย่าต้องร้องให้
ก็ดีถมไปแล้ว, ไม่ต้องถึงกับว่าหัวเราะ.
นี่จึงขอให้สนใจฟังธรรมะชนิดนั้นคือเรื่องสมถวิปัสสนาสำหรับยุคปรมาณู
ที่จะต้องทำไว้ให้คล่องแคล่วชำนาญ ชำนาญอย่างยิ่ง สมบูรณ์มากเพียงพอถูกต้องดี.
นี่ก็จะได้ปรกติอยู่ได้ในเหตุการณ์ที่มันจะเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในยุคปรมาณู
ท่านต้องนึกถึงข้อความที่บรรยายมาแล้ว
๑๑ ครั้งตั้งแต่ต้นว่าปฏิบัติอย่างไร และข้อไหนเป็นข้อที่สำคัญที่สุด?
เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา, เห็นสุญญตา,
แล้วก็เห็นตถตา,แล้วเห็นอิทัปปัจจยตา
อยู่ได้ ทุกครั้งที่หายใจออก - เข้าในทุกๆ กรณี,
นี้มันจะมากน้อยสักเท่าไร ในการที่จะทำให้ได้ถึงขนาดนี้. ถ้าเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง,
มันเป็นเช่นนั้นเองได้อย่างเต็มที่ ในเมื่ออะไรจะเกิดขึ้นใหญ่หลวงเท่าไรก็ตาม
; เห็นเช่นนั้นเองได้นั่นแหละคือจะคงที่ได้,
จะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงได้. นี่ถ้าอยากจะหัวเราะก็ยังได้แต่ว่าพระอรหันต์ท่านคงจะไม่หัวเราะให้มันเหนื่อยเปล่าๆ,
อยู่เฉยๆ
มันก็ดีแล้วไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องให้นั่นแหละมันดีกว่า เรียกว่าเรามีธรรมะที่จะทำความคงที่
ได้ในทุกๆ กรณี
หนังสือชุด
"ลอยปทุม" นี้ จัดพิมพ์เผยแพร่แก่พุทธศาสนิกชนที่สนใจได้อ่านและศึกษาพร้อมทั้งปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ตามคำสั่งสอนของท่านเจ้าคุณพุทธทาสภิกขุ
และเก็บไว้เป็นหนังสือประจำตน หรือมอบไว้เป็นที่ระลึกในงานพิธีต่างๆ
อันจักเป็นการช่วยเผยแพร่ธรรมะที่ดี ไว้เป็นประทีปส่องทางชีวิต
หนังสือชุดนี้ ธรรมสภาได้จัดพิมพ์จากต้นฉบับเดิมของธรรมทานมูลนิธิ
เพื่ออนุรักษ์ต้นฉบับเดิมไว้ อันเป็นการรักษาพระธรรมคำสอนมิให้คลาดเคลื่อน
โดยได้รับการตรวจสอบและตรวจทานจากธรรมทานมูลนิธิแล้ว
|
|