สถาบันศาสนาทุกสถาบัน มีองค์ประกอบที่เป็นหลักสำคัญ ๓ อย่าง คือ.-
๑. ศาสนธรรม ได้แก่ คำสั่งสอนของพระศาสดาผู้ประกาศศาสนา
๒. ศาสนวัตถุ ได้แก่ สถานที่บำเพ็ญกิจทางศาสนาของผู้นับถือศาสนา รวมทั้งวัตถุ
อุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับสถานที่นั้น ๆ
๓. ศาสนบุคคล ได้แก่ บุคคลผู้นับถือศาสนา ซึ่งโดยทั่วไปก็มีอยู่ ๒
ประเภท คือ ผู้ที่ถือบวช กับ ผู้ที่ไม่ถือบวช
องค์ประกอบทั้ง ๓ อย่างดังกล่าวนี้ ต้องอิงอาศัยกันและกัน สถาบันศาสนาจึงดำรงอยู่ได้
ถ้าศาสนาใดขาดองค์ประกอบเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ศาสนนั้นจะล้มละลายไม่สามารถยืนยงสืบต่อไปได้
ต่อไปนี้ ขอเชิญชวนให้ท่านพิจารณาสถาบันพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาประจำชาติไทยเรา
ที่ทางราชการประกาศเตือนใจ เพื่อเรียกร้องความสามัคคีจากประชาชนภายในชาติที่ว่า
"ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" นั้น ยังมีองค์ประกอบ ๓ อย่างนั้น
สมบูรณ์อยู่หรือ ? กล่าวคือ ศาสนธรรม อันได้แก่ พระธรรมกับพระวินัย
ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกาศและบัญญัติไว้ ยังถูกต้อง บริสุทธิ์
บริบูรณ์ ด้วยอรรถะ พยัญชนะ งามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เป็นสัจจธรรมอยู่หรือ
หรือมีสัทธรรมปฏิรูปแซกแซงปะปนเข้ามาในพระธรรมวินัยบ้างแล้วฯ ศาสนวัตถุ
ได้แก่ วัดวาอารามซึ่งประกอบไปด้วย โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ฯลฯ
และวัตถุอุปกรณ์เครื่องใช้ประจำศาสนสถานนั้น ๆ มีการพัฒนาอย่างเหมาะสม
ตามกาลสมัย ได้รับความคุ้มครอง ปลอดภัยจากมิจฉาชีวกชนเหมือนอดีตกาลครั้งปู่
ย่า ตา ยาย ของเราดีอยู่หรือ ? ศาสนบุคคล ผู้ที่ได้นามว่าชาวพุทธ ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ยังประพฤติปฏิบัติตาม
ศีลธรรม บำเพ็ญศาสนกิจตามหน้าที่ เพื่อทำตนให้เป็นศาสนทายาทที่ดีในการสืบอายุพระพุทธศาสนา
อันจะเป็นเหตุนำมาซึ่งสันติสุขแก่สังคม ดีอยู่หรือ ?
สำหรับข้าพเจ้ามีความคิดเห็นว่า พระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศและบัญญัติไว้นั้น
ยังคงบริสุทธิ์ บริบูรณ์ พร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะมาก ที่ว่า "มาก"
นี้ก็เพราะมีความปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่า เป็นคำสอนหรือลัทธินอกพุทธศาสนา
ซึ่งมีอิทธิพลสามารถแทรกซึมเข้ามาตั้งแต่อดีตกาล ก่อนที่พุทธศาสนา
จะแพร่เข้ามาถึงสุวรรณภูมิและเป็นศาสนาประจำชาติไทย แต่ถึงกระนั้นก็มิได้เป็นอันตรายร้ายแรงต่อพุทธศาสนา
สัจจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงประกาศยังคงเป็นสัจจะที่บัณฑิตหรือผู้สนใจศึกษาสามารถรู้,
เข้าใจ และเลือกสรรค์มาประพฤติปฏิบัติได้ ถ้านับเอาคัมภีร์ที่จารึกพระธรรมวินัยพร้อมทั้งอรรถกถา
ฏีกาเป็นต้น เข้าในองค์ที่ 1 คือศาสนาธรรมบริบูรณ์ดีอยู่ (ยังมีอรรถกถา
ฏีกา เป็นต้นที่จารึกในใบลานด้วยอักษรขอม ซึ่งยังไม่ได้ปริวัตรพิมพ์ด้วยด้วยอักษรไทย
แต่ทว่าปัจจุบันนี้มูลนิธิภูมิพโล ภิกขุ กำลังรีบเร่งดำเนินการปริวัตรและแปลพิมพ์ด้วยอักษรไทยออกเผนแพร่ถ้าสำเร็จตามโครงการเมื่อใด
เราจะมีคัมภีร์พระพุทธศาสนาอักษรไทยครบถ้วนทีเดียว)
วัดหรืออาวาสอันประกอบไปด้วยเจติยสถานและเสนาสนะ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่
2 อาจกล่าวได้ว่ามีมาก มีการพัฒนาไปตามกาลสมัย แต่ในปัจจุบันนี้ ประสบภัยจากพวกมิจฉาชีวกชน
เจติยสถานถูกขุดค้นหาโบราณวัตถุ พระพุทธรูปและโบราณวัตถุอันมีค่าถูกตัดเศียร,
ลักขโมย ถึงกระนั้น เสนาสนะอันเป็นที่อยู่อาศัยยังมีมากพอที่จะเป็นหลักให้สถาบันพุทธศาสนายืนยงต่อไปได้
ส่วนศาสนานิกนั้น มากด้วยปริมาณแต่น้อยคุณภาพ กล่าวคือ ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา
ส่วนมากมิได้สนใจที่จะศึกษาศาสนาธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้มีความรู้ความเข้าใจ
จนเกิดความซาบซึ้งในพุทธธรรม แม้ผู้ที่ได้บรรพชาอุปธรรม ก็มีอยู่เป็นส่วนน้อย
ที่ตั้งใจศึกษาหาความรู้ในพุทธธรรมให้กว้างขวาง แล้วนำไปเผยแพร่และปฏิบัติ
เพื่อเป็นศาสนาทายาทสืบอายุพระพุทธศาสนาให่ยืนนาน ถ้าองค์ประกอบที่
3 โดยเฉพาะบรรพชิต ยังเป็นไปในลักษณะนี้ เห็นทีว่าสถาบันพระพุทธศาสนาจะอ่อนกำลังลงทุกขณะ
ไม่สามารถรุ่งเรืองฉายแสงธรรมไปบำรุงจิตใจ
ของมวลชน เมื่อบรรพชิตและคฤหัสถ์ ผู้นับถือพระพุทธศาสนา ไม่ประพฤติปฏิบัติตนตามพระธรรมวินัยให้สมกับที่ชื่อว่า
"ชาวพุทธ" เสียแล้ว แม้องค์ประกอบนอกนี้จะสมบูรณ์มากมายเพียงใด
สถาบันพระพุทธศาสนาก็จักดำรงอยู่ไม่ได้
ตามที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาจะแพร่หลายออกไป หรือจักดำรงคงอยู่คู่ชาติไทย
ย่อมขึ้นอยู่กับศาสนิกเป็นประการสำคัญ ความข้อนี้ พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้ว่า
ผู้ที่จะทำลายพระพุทธศาสนา (พระธรรมวินัย) นั้น หาใช่ใครอื่นไม่ แต่เป็นพุทธบริษัทนี้เอง
(เป็นพุทธบริษัทในนาม แต่มีการกระทำทรยศดังเถระเทวทัต)
พระครูดิตถารามคณาศัย (ชม คุณาราโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าไทร ตำบลท่าทองใหม่
อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นพระเถระที่มั่นคงในสัมมาปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเพียบพร้อมด้วยสีลาจารวัตรและพรหมวิหารธรรม
ท่านสูงด้วยรัตตัญญูภาพ จึงสามารถสร้างความเจริญให้แก่สถาบันพระพุทธศาสนา
โดยเฉพาะวัดท่าไทร สภาพที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เกิดขึ้นด้วยสติปัญญาบารมีความสามารถของท่าน
ถึงฝ่ายการอบรม, แนะนำ, สั่งสอน เพื่อให้ผู้อยู่ภายใต้การปกครองและประชาชนทั่วไปเป็นชาวพุทธหรือพุทธศาสนิกที่ดีมีคุณภาพ
ท่านก็ถือเป็นหน้าที่
สำคัญและปฏิบัติมาตลอดชีวิต การเป็นเจ้าอาวาส เมื่อมีพระภิกษุสามเณรมากขึ้น
ต้องใช้จ่ายเงินเพื่ออุปถัมภ์ โดยเฉพาะที่จำเป็นอย่างยิ่งก็คือค่าอาหาร
ค่าไฟ มากขึ้น แต่วัดท่าไทรไม่มีผลประโยชน์จากที่ใดเป็นหลักแน่นอน
นอกจากศรัทธาบริจาคของประชาชน
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ท่านจึงคิดหาทางที่จะให้วัดมีรายได้เป็นจำนวนแน่นอนและให้เป็นหิตานุหิตประโยชน์แก่อนุชนสืบไปนานเท่านาน
จึงได้มอบให้คณะบุคคลคณะหนึ่ง (คณะกรรมการสิญจน์อุทิศดิตถารามมูลนิธิ)
ดำเนินการขออนุญาตจัดตั้งมูลนิธิ เพื่ออาศัยดอกผลจากเงินทุนมูลนิธิบำรุงวัดท่าไทร
ในเมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว
เมื่อท่านได้อ่านคำนำของท่านพระครูดิตถารามคณาศัยแล้ว จะเห็นได้ว่า
ท่านพระครูดิตถารามคณาศัย ต้องใช้เวลาในการทำงาน (ตั้งมูลนิธิ) นี้นานถึง
๓๕ ปี จึงประสบความสำเร็จ และสำเร็จเมื่อก่อนหน้าที่ท่านจะมรณะภาพเพียง
๓ เดือน แสดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้มีจิตใจหนักแน่น มั่นคงต่องานที่ปรารถนาแท้จริง
ข้าพเจ้าในฐานะผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดท่าไทร ขอเชิญชวนท่านที่มีความเคารพนับถือพระครูดิตถารามคณาศัย
ตลอดถึงท่านสาธุชนโดยทั่วไป ช่วยกันบริจาคทรัพย์สมทบทุนให้แก่ "สิญจน์อุทิศดิตถารามมูลนิธิ"
เงินที่ท่านบริจาคให้นั้นจะคงอยู่ครบเต็มจำนวน ซึ่งอยู่ในความควบคุมของคณะกรรมการ
จะนำไปใช้จ่ายทางใดทางหนึ่งไม่ได้ จะนำไปใช้ได้ก็เฉพาะดอกผลที่ได้จากเงินทุนนั้นเท่านั้น
และการจะใช้จ่ายก็ต้องเป็นไปตามตราสารของมูลนิธิ จึงเห็นได้ว่าทรัพย์สินที่บริจาคให้มูลนิธินั้นผลิตดอกออกผล
เป็นพลังสำคัญส่วนหนึ่งที่ค้ำชูสถาบันพระพุทธศาสนาให้ยืนนานและรุ่งเรืองสืบไป
พระมหาสนอง วิโรจโน
ป.ธ. ๙
ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดท่าไทร
๒๐ มกราคม ๒๕๒๓
ที่มา : หนังสือตราสารของ
"สิญจน์อุทิศดิตถารามมูลนิธิ" หน้า ๒
|