คำว่า "มูลนิธิ" หมาถึงทรัพย์สินที่ผู้บริจาคมีศรัทธาตั้งไว้เป็นทุน
เพื่อจัดหาผลประโยชน์มาบำรุงสาธารณกุศลต่าง ๆ โดยรักษาต้นทุนเดิมไว้
ไม่ใช้จ่าย และหาวิธีเพิ่มเติมต้นทุนเดิให้มีมากขึ้น เพื่อจะได้จัดหาผลประโยชน์ได้มากขึ้นด้วย
ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสเรียกการบริจาคทรัพย์เป็นมูลนิธิเช่นนี้ว่า
"บุญนิธิ" แปลว่า ขุมทรัพย์คือบุญ มีปรากฎอยู่ในนิธิกัณฑคาถา
ดังข้อความต่อไปนี้
บุคคลย่อมฝังขุมทรัพย์ไว้ในที่มีน้ำเป็นที่สุดด้วยคิดว่า เมื่อมีความต้องการด้วยประโยชน์อย่างไร
ก็จักได้ใช้ทรัพย์ที่ฝังไว้ให้เป็นประโยชน์อย่างนั้นแก่เรา
เมื่อถูกศัตรูใส่ความว่า "เราเป็นคนร้าย" ทรัพย์ที่ฝังไว้ก็จักได้ช่วยเหลือแก้ไขให้พ้นภัยเช่นนั้นได้
เมื่อถูกโจรผู้ร้ายทำอันตรายก็จักได้ใช้ทรัพย์ที่ฝังไว้แก้ไขให้พ้นจากโจรผู้ร้ายได้
เมื่อมีหนี้สินเกิดขึ้น ก็จักไดเอาทรัพย์ที่ฝังไว้ใช้หนี้เขาไป
เมื่อมีภัยต่าง ๆเกิดขึ้น เช่น ทุพภิกขภัย คือ ภัยที่เกิดขึ้นจากความอดอยากเป็นต้น
ทรัพย์ที่ฝังไว้ก็จักช่วยแก้ไขให้รอดพ้นจากความอดอยากได้
การฝังทรัพย์ไว้ในโลก ก็เพื่อประโยชน์ต่าง ๆ ดังที่กล่าวแล้วและประโยชน์อย่างอื่น
ๆ อีก แต่ว่าทรัพย์ที่ฝังไว้เป็นอย่างดี ในที่มีน้ำลึกเป็นที่สุดเช่นนั้น
ก็ไม่อาจสำเร็จ จะสำเร็จประโยชน์ทุก ๆ อย่างได้เสมอไปในกาลทุกเมื่อ
เพราะว่า ขุมทรัพย์ที่ฝังไว้เคลื่อนไปจากที่เดิมเสียบ้าง ความจำของผู้ฝังคลาดเคลื่อน
จำที่ฝังไม่ได้เสียบ้าง อมนุษย์ เช่น นาค ยักษ์ ภูตผี ปีศาจ มาลักลอบเอาไปเสียบ้าง
คนที่รู้เรื่องมาลอบขุดไปในเมื่อเจ้าของไม่เห็นเสียบ้าง ในเวลาเจ้าของตาย
ขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ก็สูญเสียไปไม่เป็นประโยชน์แก่ใคร แม้เจ้าของก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร
ส่วนว่า "บุญนิธิ" ขุมทรัพย์คือ บุญของผู้ใด จะเป็นชายก็ตามเป็นหญิงก็ตาม
ที่ฝังไว้ในกองบุญต่าง ๆ มี ทานเป็นต้น ขุมทรัพย์ก็คือบุญนั่นชื่อว่าฝังไว้ดีแล้ว
ใคร ๆ ไม่อาจทำอันตรายได้ เป็นของติดตามตัวไปได้
บรรดาทรัพย์สิน สมบัติต่าง ๆ ในเวลาตาย เจ้าของก็ละทิ้งไปจะพาเอาไปได้เฉพาะขุมทรัพย์คือบุญเท่านั้น
ขุมทรัพย์คือบุญไม่ทั่วไปแก่คนอื่น ใครทำก็เป็นของผู้นั้น โจรผู้ร้ายก็ชิงเอาไปไม่ได้
ใครก็โกงไม่ได้ ไฟก็ไหม้ไม่ได้ น้ำก็ท่วมไม่ได้
ผู้เป็นนักปราชญ์ ต้องสร้างสมขุมทรัพย์คือบุญที่จะติดตามตนไปในที่ทุกสถาน
ขุมทรัพย์คือ บุญนั้น ให้สมบัติที่ต้องการทุก ๆ อย่างแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เทวดาและมนุษย์ทั้ง หลายปรารถอยากจะได้ สมบัติใด ๆ สมบัตินั้น ๆ ก็สำเร็จได้ด้วย
ขุมทรัพย์คือบุญ
ความเป็นผู้มีผิวพันพรรณงาม ความเป็นผู้มีเสียงไพเราะ ความเป็นผู้มีทรวดทรงดี
ความเป็นผู้มีรูปสวย ความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ความเป็นผู้มีบริวารมาก สมบัติทั้งปวงนี้
สำเร็จได้ด้วยขุมทรัพย์คือบุญ
ความเป็นพระราชา ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ความเป็นพระอินทร์ ความเป็นพระพรหม
สมบัติทั้งปวงนี้ ก็สำเร็จได้ด้วยขุมทรัพย์คือ บุญ
มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ สมบัติทั้งปวงนี้ ก็สำเร็จได้ด้วยขุมทรัพย์คือบุญ
วิชา ความรู้แจ้งแทงตลอด วุมุตติ ความหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ ปฏิสัมภิทา
ความเชี่ยวชาญในเหตุผลต่าง ๆ สมบัติทั้งหลายนี้ ก็สำเร็จด้วยขุมทรัพย์คือ
บุญ
สาวก ปัจเจกภูมิ พุทธภูมิ สมบัติทั้งปวงนี้ ก็สำเร็จได้ด้วยขุมทรัพย์คือบุญ
ขุมทรัพย์คือบุญ มีประโยชน์มากยิ่งอย่างนี้ เพราะเหตุนั้นนักปราชญ์ผู้มีปัญญา
จึงสรรเสริญบุคคลผู้สร้างสมขุมทรัพย์คือบุญ
โดยเฉพาะผู้มีศรัทธาบริจาคทรัพย์ตั้งเป็นมูลนิธิ ก็คือผู้สร้างสมบุญนิธิ
ขุมทรัพย์คือบุญก็ย่อมจะได้รับอานิสงส์คือ สมบัติต่าง ๆ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ในนิธิกัณฑคาถาตามที่แสดงมาแล้วนั้น
มูลนิธิก็คือบุญนิธิ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในนิธิกัณฑคาถา ผู้มีศรัทธาทรัพย์ตั้งเป็นมูลนิธิ
ก็คือได้ทำบุญนิธิตามที่พระพุทธตรัสสอน ชื่อว่าได้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
มูลนิธิยังตั้งอยู่ตราบใด ผู้ตั้งมูลนิธิก็ได้บุญอยู่ตราบนั้น แม้ตายไปแล้วมูลนิธิยังอยู่
ผู้ตายก็ยังได้บุญ ชื่อว่าได้ บุญอยู่เป็นนิตย์ ทุกเวลา ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน
ทั้งเวลาหลับและเวลาตื่น
ผู้จัดการมูลนิธิ เอาดอกผลประโยชน์จากมูลนิธิ ไปทำอาหารเลี้ยงพระ ผู้ตั้งมูลนิธิก็ชื่อว่าได้ทำบุญเลี้ยง
พระด้วย ถ้าเอาไปก่อสร้าง ซ่อมแซมเสนาสนะสงฆ์ด้วย ถ้าเอาไปใช้จ่ายในการบุญใด
ๆ ผู้ตั้งมูลนิธิ ก็ชื่อว่าได้บุญนั้น ๆ ด้วย
ฉะนั้น จึงเป็นการดีอย่างยิ่งที่จะบริจาคทรัพย์เป็นทุนมูลนิธิไว้จักได้บุญได้อานิสงฆ์มากดังกล่าวมา
พระเทพพิพัฒนาภรณ์
(ชูชาติ กนฺตวณฺโณ ป.ธ.๕,น.ธ.เอก)
เจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี
และ เจ้าอาวาสวัดท่าไทร
ที่มา : หนังสือตราสารของ
"สิญจน์อุทิศดิตถารามมูลนิธิ" หน้า ๖
|