ไวยาวัจกร
ความหมายของไวยาวัจกร
ไวยาวัจกร หมายถึง ผู้ทำกิจธุระแทนภิกษุหรือสงฆ์ , ผู้จัดการขวนขวายแทนภิกษุหรือสงฆ์
ไวยาวัจกร หมายถึง ผู้ทำกิจธุระแทนสงฆ์ , ผู้ช่วยขวนขวายทำกิจธุระ , ผู้ช่วยเหลือรับใช้พระ

ไวยาวัจกรตามพระวินัย
  ตามพระวินัย มีไวยาวัจกร ที่ปรากฏในสิกขาบทที่ 10 จีวรวรรคที่ 1 นิสัคคิยปาจิตตีย์ 3 ความว่า "ถ้าใคร ๆ
นำทรัพย์มาเพื่อค่าจีวรแล้วถามภิกษุว่า ใครเป็นไวยาวัจกรของเธอ ถ้าภิกษุต้องการจีวร ก็พึงแสดงคนวัดหรืออุบาสกว่า ผู้นี้เป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย ครั้นเขามอบหมายไวยาวัจกรนั้นแล้ว สั่งภิกษุว่า ถ้าต้องการจีวร ให้เข้าไปหาไวยาวัจกร ภิกษุนั้นพึงเข้าไปเขาแล้วทวงว่า เราต้องการจีวรดังนี้ได้ 3 ครั้ง ถ้าไม่ได้จีวร ไปยืนแต่พอเขาเห็นได้ 6 ครั้ง ถ้าไม่ได้ ขืนไปทวงให้เกิน 3 ครั้ง ยืนเกิน 6 ครั้ง ได้มา ต้องนิสัคคิยปาจิตตีย์
  ถ้าไปทวงและยืนครบกำหนดแล้วไม่ได้จีวรจำเป็นต้องไปบอกเจ้าของเดิมว่าของนั้นไม่สำเร็จประโยชน์แก่ตน
ให้เขาเรียกเอาของเขาคืนมาเสีย
  อธิบายความตามวินัยมุข 4 เล่ม 1 กัณฑ์ที่ 6 สิกขาบทที่ 10 ว่า อนึ่ง พระราชาก็ดี ราชอำมาตย์ก็ดี
พราหมณ์ก็ดี คฤหบดีก็ดี ส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไปด้วยทูตเฉพาะภิกษุว่า เจ้าจงจ่ายจีวร ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้แล้ว ยังภิกษุชื่อนี้ให้ครองจีวร ถ้าทูตนั้น เข้าไปหาภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้ นำมาเฉพาะท่าน ขอท่านจงรับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร ภิกษุนั้น พึงกล่าวต่อทูตนั้นอย่างนี้ว่า พวกเราหาได้รับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไม่ พวกเรารับแต่จีวรอันเป็นของควรโดยกาล ถ้าทูตนั้นกล่าวต่อภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ก็ใครๆ ผู้เป็นไวยาวัจกรของท่านมีหรือ ภิกษุผู้ต้องการจีวร พึงแสดงชนผู้ทำการในอาราม หรืออุบาสก ให้เป็นไวยาวัจกร ด้วยคำว่า คนนั้นแลเป็นไวยาวัจกรของพระภิกษุทั้งหลาย ถ้าทูตนั้น สั่งไวยาวัจกรนั้นให้เข้าใจแล้ว เข้าไปหาภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า คนที่ท่านแสดงเป็นไวยาวัจกรนั้น ข้าพเจ้าสั่งให้เข้าใจแล้ว ท่านจงเข้าไปหา เขาจักให้ท่านครองจีวรตามกาล
  ภิกษุผู้ต้องการจีวร เข้าไปหาไวยาวัจกรแล้ว พึงทวงพึงเตือน 2-3 ครั้ง ว่า เราต้องการจีวร ภิกษุทวงอยู่
เตือนอยู่ 2-3 ครั้ง ยังไวยาวัจกรนั้นให้จัดจีวรสำเร็จได้การให้สำเร็จได้ด้วยอย่างนี้ นั่นเป็นดี ถ้าให้สำเร็จไม่ได้ พึงเข้าไปยืนต่อหน้า 4 ครั้ง 5 ครั้ง 6 ครั้ง เป็นอย่างมาก เธอยืนนิ่งต่อหน้า 4 ครั้ง 5 ครั้ง 6 ครั้ง เป็นอย่างมาก ยังไวยาวัจกรนั้นให้จัดจีวรสำเร็จได้ การให้สำเร็จได้ด้วยอย่างนี้ นั่นเป็นดี ถ้าให้สำเร็จไม่ได้ถ้าเธอพยายามให้ยิ่งกว่านั้น ยังจีวรนั้นให้สำเร็จ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ถ้าให้สำเร็จไม่ได้พึงไปเองก็ดี ส่งทูตไปก็ดี นสำนักที่ส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร
มา เพื่อเธอ บอกว่า ท่านส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไปเฉพาะภิกษุใด ทรัพย์นั้นหาสำเร็จประโยชน์น้อยหนึ่งแก่ภิกษุนั้นไม่ ท่านจงทวงเอาคืนทรัพย์ของท่าน ทรัพย์ของท่านอย่าได้ฉิบหายเสียเลย . นี้เป็นสามีจิกรรม.(คือการชอบ) ในเรื่องนั้น
  ไวยาวัจกรที่ปรากฏในวินัยมุข เล่ม 2 กัณฑ์ที่ 20 กล่าวว่า "ที่กัลปนา คือที่นาที่สวนและที่อย่างอื่นอีก
อันทายกผู้เจ้าของบริจาคไว้เพื่อเป็นค่าปัจจัยบำรุงสงฆ์ เช่นเรียกในบัดนี้ว่าที่ธรณีสงฆ์ในบาลี แสดงครุภัณฑ์ ไม่ได้กล่าวถึง แต่ในบาลีเภสัชชขันธกะกล่าวไว้แต่ไม่ชัดความดังนี้ พืชของบุคคลอันเพาะปลูกในพื้นที่ของสงฆ์ เจ้าของพึงให้ส่วนแล้วบริโภค นี้ก็ได้แก่ที่นาหรือที่สวนมีคนเช่าถือ เสียค่าเช่าให้แก่สงฆ์. ที่กัลปนานี้ อนุโลมเข้าในบทอารามวัตถุ เป็นครุภณฑ์ ของอันเกิดขึ้นในที่นั้นหรือจะเรียกว่าค่าเช่าก็ตามที่ทายกผู้ถวายไม่ได้ กำหนดเฉพาะปัจจัย ต้องการด้วยปัจจัยอย่างใด จะน้อมไปเพื่อปัจจัยอย่างนั้น ควรอยู่ที่ทายกผู้ถวายกำหนดเฉพาะ เสนาสนปัจจัย ต้องน้อมเข้าไปในเสนาสนะเท่านั้น.
  ถ้าไวยาวัจกรสงฆ์ดูแลทำที่กัลปนานั้นเอง ไม่ได้ให้มีผู้เช่าถือ จ่ายผลประโยชน์อันเกิดในที่นั้น
ให้แก่ผู้ทำผู้รักษาตามส่วนได้อยู่. ผู้ทำผู้รักษามีกรรมสิทธิ์ในของอันเกิดขึ้น ณ ที่นั้น เท่าส่วนอันตนจะพึงได้. อีกฝ่ายหนึ่ง ในบาลีเภสัชชขันธกะนั้นเองกล่าวว่า พืชของสงฆ์เพาะปลูกในที่ของบุคคล พึงให้ส่วนแล้วบริโภค น่าจะได้แก่การที่
ไวยาวัจกรสงฆ์เช่านาหรือสวนของคนอื่นทำเป็นของสงฆ์ เช่นนี้ ท่านยอมให้จ่ายผลประโยชน์ของสงฆ์ให้ เป็นค่าเช่า ค่า
ถือแก่เจ้าของที่ การเช่นนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ามีสักรายหนึ่ง มีแต่บุคคลเช่าที่ของสงฆ์ทั้งนั้น"

ไวยาวัจกรตามกฎกระทรวง
  ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
  ข้อ 6 ให้เจ้าอาวาสจัดให้ ไวยาวัจกรหรือผู้จัดประโยชน์ของวัดซึ่งเจ้าอาวาสแต่งตั้งทำบัญชีรับจ่ายเงินของวัด
และเมื่อสิ้นปีปฏิทินให้ทำบัญชีเงินรับจ่ายและคงเหลือ ทั้งนี้ให้เจ้าอาวาสตรวจตราดูแลให้ เป็นไปโดยเรียบร้อยและถูกต้อง
  ข้อ 7 ในกรณีที่วัด เจ้าอาวาสไวยาวัจกรหรือผู้จัดประโยชน์ของวัดถูกฟ้องหรือถูกหมายเรียกเข้าเป็นโจทก์
ร่วมหรือจำเลยร่วม ในเรื่องที่เกี่ยวกับการดูแลรักษา และจัดการศาสนสมบัติของวัดให้เจ้าอาวาสแจ้งต่อกรมกรศาสนา หรือ ศึกษาธิการจังหวัด ที่วัดตั้งอยู่ที่ทราบไม่ช้ากว่าห้าวัน นับแต่วันรับหมาย

ไวยาวัจกรตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
  มาตรา 23 การแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์ เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระภิกษุอันเกี่ยวกับ
ตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ตำแหน่งอื่นๆ และไวยาวัจกรให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม
  มาตรา 45 ให้ถือว่าพระภิกุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์และไวยาวัจกร เป็น
เจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา

ไวยาวัจกรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
  กรณีที่มีการมอบหมายให้ไวยาวัจกรดูแลรักษาและจัดการทรัพย์สินของวัด ไวยาวัจกรมีฐานะเป็น "ตัวแทน"
ของวัดในการจักการทรัพย์สินของวัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ (พ.ศ. 2535)

ไวยาวัจกรตามประมวลกฎหมายอาญา
  ไวยาวัจกรมีฐานะเป็น "เจ้าพนักงาน" ตามประมวลกฎหมายอาญาจึงได้รับการคุ้มครองและควบคุมตาม
ประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้
  มาตรา 136 ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้องระวาง
โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  มาตรา 147 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน
หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือ
จำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท

หน้าที่ของไวยาวัจกร
    1. หน้าที่เบิกจ่ายนิตยภัต
2. หน้าที่ดูแลรักษาจัดการทรัพย์สินของวัดตามที่เจ้าอาวาสมอบหมายเป็นหนังสือ
  หน้าที่ไวยาวัจกรประเภทที่ 1 ได้แก่หน้าที่เบิกจ่ายนิตยภัตจากส่วนราชการที่ได้ตั้งนิตยภัตถวายแก่พระภิกษุ
ในวัดนั้น ในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนี้
  ไวยาวัจกรจะต้องได้รับหนังสือมอบหมายจากเจ้าอาวาสเพื่อนำไปแสดงเป็นหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ของส่วน
ราชการผู้จ่ายนิตยภัต ตามระเบียบของทางราชการ
  ส่วนหน้าที่ไวยาวัจกรประเภทที่ 2 คือ หน้าที่ดูแลรักษาจัดการทรัพย์สินของวัดซึ่งต้องมีหนังสือมอบหมายของ
เจ้าอาวาสเป็นหลักฐาน เนื่องจากศาสนสมบัติของวัดมีอยู่มากมายหลายชนิด บางส่วนสำหรับใช้ในการพระศาสนาและ
บางส่วนก็มิได้ใช้ในการพระศาสนา นอกจากนี้ วิธีการดูแลรักษาจัดการทรัพย์สินของวัด ก็อาจกระทำได้หลายวิธีด้วยกัน
  ฉะนั้น ทรัพย์สินส่วนใดจะมอบหมายให้ไวยาวัจกรจัดการโดยวิธีใดจึงจำเป็นต้องมี "หนังสือ" มอบหมายของ
เจ้าอาวาสเป็นหลักฐาน ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกและป้องกันมิให้เกิดข้อบกพร่อง หรือข้อยุ่งยากในการปฏิบัติหน้าที่ของ
ไวยาวัจกร
  แต่อย่างไรก็ดี ในการปฏิบัติหน้าที่ของไวยาวัจกรประเภทที่ 2 ถึงแม้ว่าจะได้รับหนังสือมอบหมายจาก
เจ้าอาวาสเป็นหลักฐานไว้แล้วก็ตาม ไวยาวัจกรจะดำเนินการไปโดยอิสระตามความพอใจของตนก็หาไม่ จะต้องจัดการ
ให้เป็นไปโดยชอบด้วยบทบัญญัติในมาตรา 40 วรรค 3 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 กล่าวคือ ต้องให้เป็น
ไปตาม "วิธีการ" ที่กำหนดในกฎกระทรวง
  โดยนัยนี้ ถ้าไวยาวัจกรปฏิบัติการใดๆ โดยไม่ได้รับหนังสือมอบหมายจากเจ้าอาวาสก็ดี หรือได้รับหนังสือ
มอบหมายจากเจ้าอาวาสแล้ว แต่กระทำไปโดยมิชอบด้วยวิธีการตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงก็ดี ต้องถือว่าได้กระทำ
ไปโดยนอกเหนืออำนาจหน้าที่ หรือมิชอบด้วยอำนาจหน้าที่ของตนแล้วแต่กรณี หากเกิดข้อบกพร่อง หรือเสียหายขึ้นด้วย
เหตุดังกล่าวแล้ว ไวยาวัจกรจะต้อง "รับผิดชอบ" ในความบกพร่องหรือความเสียหายนั้น
  โดยนัยเดียวกัน ถ้าเจ้าอาวาสมอบหมายให้ไวยาวัจกรปฏิบัติการใดๆ โดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ ตามที่
บัญญัติไว้ในข้อ 2 นี้แล้ว หากเกิดข้อบกพร่องหรือเสียหายขึ้นด้วยเหตุดังกล่าวแล้วเจ้าอาวาสจะต้องร่วม "รับผิดชอบ" ในความบกพร่องหรือความเสียหายนั้นด้วย

การแต่งตั้งไวยาวัจกร
  เนื่องจากไวยาวัจกรต้องรับภาระปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนได้ส่วนเสียของวัดและ
พระศาสนาอยู่หลายประการ เพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อบกพร่องเสียหายในการปฏิบัติหน้าที่ของไวยาวัจกรดังกล่าวมาแล้ว
จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งไวยาวัจกรไว้เป็นพิเศษ ซึ่งแยกสาระสำคัญออกพิจารณา
ได้เป็น 4 ส่วน คือ
    1. หลักเกณฑ์การแต่งตั้งไวยาวัจกร
2. วิธีการแต่งตั้งไวยาวัจกร
3. การแต่งตั้งไวยาวัจกรหลายคน
4. การแต่งตั้งผู้รักษาการในตำแหน่งไวยาวัจกร

หลักเกณฑ์การแต่งตั้งไวยาวัจกร
  คฤหัสถ์ที่ได้รับการคัดเลือกและแต่งตั้งให้เป็นไวยาวัจกรตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2536)
ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนไวยาวัจกร ต้องมีคุณสมบัติตามข้อ 6
  ข้อ 6 คฤหัสถ์ผู้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นไวยาวัจกร ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
    (1) เป็นชาย มีสัญชาติไทย นับถือพระพุทธศาสนา
(2) มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์
(3) เป็นผู้มีหลักฐานมั่นคง
(4) เป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ไวยาวัจกรได้
(5) เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองตามระบบรัฐธรรมนูญ
(6) ไม่เป็นผู้ที่มีร่างกายทุพพลภาพ ไร้ความสามารถ หรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบหรือมีโรคเป็นที่รังเกียจแก่สังคม
(7) ไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี เช่น มีความประพฤติเสเพล เป็นนักเลงการพนัน เสพสุราเป็นอาจิณ หรือติดยาเสพติดให้โทษ
(8) ไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
(9) ไม่เป็นผู้ที่เคยถูกลงโทษให้ออกจากราชการ หรือองค์การของรัฐบาล หรือบริษัทห้างร้านเอกชน ใน ความผิดหรือมีมลทินมัวหมองในความผิดเกี่ยวกับการเงิน
(10) ไม่เป็นผู้ที่เคยถูกลงโทษจำคุก เว้นแต่ความผิดที่เป็นลหุโทษหรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท
  เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติในข้อ 6 โดยตลอดแล้ว จะเห็นได้ว่าได้กำหนด "คุณสมบัติ" ของผู้ที่จะดำรง
ตำแหน่งไวยาวัจกรไว้มากถึง 10 ประการ ทั้งนี้ โดยมีเหตุผลและความมุ่งหมายอันสำคัญอยู่หลายประการ แต่ถ้าจะกล่าว
โดยสรุปแล้ว ก็เพื่อให้ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแก่ตำแหน่งหน้าที่ไวยาวัจกร ซึ่งแยกพิจารณาโดยสังเขป ได้ดังนี้
  (1) เนื่องจากในการปฏิบัติหน้าที่ของไวยาวัจกร จะต้องมีการติดต่อประสานงานกับบุคคล "หลายฝ่าย" เช่น
เจ้าอาวาสและบรรพชิตในวัดนั้นฝ่ายหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องฝ่ายหนึ่ง ตลอดถึงประชาชนทั่วไปอีกฝ่าย
หนึ่ง จึงจำเป็นต้องกำหนด "คุณสมบัติ" เกี่ยวกับเรื่องเพศ วัย สัญชาติ ศาสนา หลักฐานการครองชีพ ความรู้ความสามารถ
ความคิดเห็นทางการเมือง รวมทั้งมีร่างกายและจิตใจอันสมบูรณ์ ดังที่ได้บัญญัติไว้ตั้งแต่ประการที่ 1 ถึงประการที่ 6
ทั้งนี้ ด้วยความมุ่งหมายเพื่อให้เหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนั้นให้ดำเนินไปโดยเรียบร้อย
  (2) นอกจากนี้ ไวยาวัจกรยังมีหน้าที่อันสำคัญอีกส่วนหนึ่งกล่าวคือ มีหน้าที่ต้องรับ เก็บรักษา และเบิกจ่าย
"เงินศาสนสมบัติ" ของวัดเป็นจำนวนมากตามที่เจ้าอาวาสมอบหมาย จึงจำเป็นต้องกำหนดคุณสมบัติเกี่ยวกับเรื่อง "ความประพฤติ" มิให้บกพร่องในศีลธรรมอันดี ไม่เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่เคยมีความผิดเสียหายเกี่ยวกับการเงิน ตลอดถึงไม่เคยถูกลงโทษจำคุกเพราะกระทำผิดอาญามาก่อน ดังที่ได้บัญญัติไว้ตั้งแต่ประการที่ 7 ถึงประการที่ 10 ทั้งนี้ โดยมุ่งหมายเพื่อให้ได้ผู้ที่มีเกียรติเป็นที่เชื่อถือไว้ว่างใจ และเพื่อป้องกันมิให้เกิดการทุจริตบกพร่องเสียหายแก่ทรัพย์สิน
ของวัดและพระศาสนา
  ฉะนั้น ในเรื่อง "คุณสมบัติ" ของไวยาวัจกรทั้ง 10 ประการ ตามที่บัญญัติไว้ในข้อ 6 นี้ จึงจัดเป็นหลักเกณฑ์
สำคัญในการคัดเลือกและแต่งตั้งไวยาวัจกร เพราะถ้าปรากฏว่าผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นไวยาวัจกรนั้น "บกพร่อง"
  จากคุณสมบัติเพียงประการใดประการหนึ่ง การแต่งตั้งย่อมไม่เป็นการสมบูรณ์ตามกฎหมาย นอกจากนี้
ยังต้องดำเนินการให้ชอบด้วย "วิธีการ" แต่งตั้งตามที่บัญญัติไว้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจะได้พิจารณาในลำดับต่อไป

วิธีการแต่งตั้งไวยาวัจกร
  เนื่องจากมีบทบัญญัติกำหนดคุณสมบัติของไวยาวัจกรไว้เป็นหลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งดังกล่าวแล้ว จึงจำ
เป็นต้องมีบทบัญญัติกำหนด "วิธีดำเนินการ" แต่งตั้งไวยาวัจกรไว้อีกส่วนหนึ่ง เพื่อควบคุมการแต่งตั้งให้ดำเนินไปโดย
เรียบร้อย ดังที่บัญญัติไว้ในข้อ 7 มีความว่า
  ข้อ 7 ในการแต่งตั้งไวยาวัจกรของวัดใด ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าอาวาสวัดนั้นปรึกษาสงฆ์ในวัดพิจารณา
คัดเลือกคฤหัสถ์ผู้มีคุณสมบัติตามควมในข้อ 6 เมื่อมีมติเห็นชอบในคฤหัสถ์ผู้ใดก็ให้เจ้าอาวาสสั่งแต่งตั้งคฤหัสถ์ผู้นั้นเป็น
ไวยาวัจกร โดยอนุมัติของเจ้าคณะอำเภอ
  ในการแต่งตั้งไวยาวัจกร เพื่อความเหมาะสมจะแต่งตั้งไวยาวัจกรคนเดียว หรือหลายคนก็ได้ ในกรณีที่
ไวยาวัจกรหลายคน ให้เจ้าอาวาสมอบหมายหน้าที่การงาน ให้แก่ไวยาวัจกรแต่ละคนเป็นหนังสือ

ความรับผิดชอบของไวยาวัจกร
  โดยที่ไวยาวัจกร มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดประโยชน์ศาสนสมบัติของวัดอันเป็นทรัพย์สินของ "พระ
ศาสนา" นอกจากจะมีบทบัญญัติกำหนดขอบเขตแห่งอำนาจหน้าที่ไวยาวัจกร พร้อมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ
แต่งตั้งถอดถอนไวยาวัจกร ตลอดจน "ความรับผิดชอบ" ในหน้าที่ของไวยาวัจกรไว้เป็นพิเศษอีกส่วนหนึ่ง เช่นเดียวกับ
ความรับผิดชอบของข้าราชการฝ่ายบ้านเมือง ผู้มีหน้าที่ดูแลรักษาและจัดการทรัพย์สินแผ่นดินหรือของ "ชาติ" ซึ่งแยก
ออก พิจารณาได้เป็น 2 ส่วน คือ
    1. ความรับผิดชอบในทางแพ่ง
2. ความรับผิดชอบในทางอาญา
  ส่วนความรับผิดชอบของไวยาวัจกรในข้อที่ 1 คือ ความรับผิดชอบในทางแพ่งนั้น หมายถึงความรับผิดชอบ
ในฐานที่ไวยาวัจกรเป็น "ตัวแทนของวัด" ซึ่งเป็นนิติบุคคล ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 31 ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
  ถ้าไวยาวัจกรกระทำการใดๆ โดยมิชอบด้วยอำนาจหน้าที่ของไวยาวัจกรหรือมิชอบด้วยสิทธิหน้าที่ของวัด
หากเกิดความเสียหายแก่วัดหรือบุคคลภายนอกก็ตาม ไวยาวัจกรผู้นั้นต้องรับผิด ต้องรับใช้ความเสียหายนั้นแก่วัด หรือ
บุคคลภายนอกแล้วแต่กรณี ตามประมวลผลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 15 ตัวแทน
  ความรับผิดชอบของไวยาวัจกรในข้อที่ 2 คือ ความรับผิดชอบในทางอาญานั้น หมายถึง ความรับผิดชอบ
ในฐานที่ไวยาวัจกรเป็น "เจ้าพนักงาน" ตามที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มีความว่า
  "มาตรา 45 ให้ถือว่าพระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์และไวยาวัจกร
เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา"
  ตามบทบัญญัติในมาตรา 45 ซึ่งยกฐานะของไวยาวัจกรให้เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมาย
อาญาเช่นนี้ มิใช่มีความมุ่งหมายแต่เพียง "ควบคุม" การปฏิบัติหน้าที่ของไวยาวัจกรเท่านั้นยังมีความมุ่งหมายเพื่อ "คุ้มครอง" การปฏิบัติหน้าที่ของไวยาวัจกรอีกส่วนหนึ่งด้วย เพราะในประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติแยกความผิด
เกี่ยวกับเจ้าพนักงานไว้เป็น 2 ลักษณะ คือ ความผิดเกี่ยวกับความยุติธรรมและความผิดทั้ง 2 ลักษณะยังแบ่งออกเป็น
2 หมวด คือ
    1. ความผิดต่อเจ้าพนักงาน
2. ความผิดต่อเจ้าหน้าที่พนักงาน
  นอกจากนี้ยังได้บัญญัติความผิดเกี่ยวกับเรื่องเจ้าพนักงานไว้ในลักษณะและหมวดอื่นๆ อีกในประมวลกฎ
หมายอาญา แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องและสำคัญเท่านั้น
  โดยนัยนี้ถ้ามีผู้ใดกระทำผิดต่อไวยาวัจกรผู้กระทำตามหน้าที่ต้องด้วยกรณีอย่างไรอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้
ในหมวดที่ว่าด้วยความผิดต่อเจ้าพนักงาน หรือในลักษณะหรือหมวดอื่นๆ แล้ว ก็ต้องมี ความผิดและรับโทษทางอาญา
ตามที่บัญญัติไว้ในกรณีนั้นๆ ขอนำตัวอย่างมาประกอบการพิจารณาเฉพาะแต่เพียงบางกรณี
  ตัวอย่าง เช่น ผู้ใดดูหมิ่นไวยาวัจกร ซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้องมีความ
ผิดฐาน "ดูหมิ่น" เจ้าพนักงานตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 136
  โดยนัยเดียวกัน ถ้าไวยาวัจกรผู้ใดกระทำผิดต่อหน้าที่ของตนต้องด้วยกรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้
ในหมวดความผิดต่อเจ้าหน้าที่เจ้าพนักงาน หรือในลักษณะและหมวดอื่นๆ แล้ว ก็ต้องมีความผิดและรับโทษทางอาญา ตามที่บัญญัติไว้ในกรณีนั้นๆ
  ตัวอย่าง เช่น ถ้าไวยาวัจกรผู้ใดเบียดบังยักยอกทรัพย์สินของวัด อันอยู่ในความครอบครองของตนตามหน้าที่
ต้องมีความผิดฐานเจ้าพนักงาน "ยักยอก" ทรัพย์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 147 หรือ
  ถ้าไวยาวัจกรผู้ใดใช้อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ของตนโดยทุจริตเป็นการเสียหายแก่วัดต้องมี ความผิดฐาน
เจ้าพนักงานใช้อำนาจหน้าที่และตำแหน่งหน้าที่ในทาง "ทุจริต" ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 151 หรือ
  ถ้าไวยาวัจกรผู้ใดปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ต้องมีความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดย
"มิชอบ" หรือโดยทุจริตตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 157 มีความว่า
  มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่
่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ต้องระหว่างโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่
สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กฎมหาเถรสมาคม
ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2536)
ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนไวยาวัจกร
***************

  อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15 ตรี แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มหาเถร
สมาคมตรากฎมหาเถรสมาคม ไว้ดังต่อไปนี้
  ข้อ 1 กฎมหาเถรสมาคมนี้ เรียกว่า "กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2536) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนไวยาวัจกร"
ข้อ 2 กฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์เป็นต้นไป
ข้อ 3 ตั้งแต่วันใช้กฎมหาเถรสมาคมนี้ ให้ยกเลิกกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2506) ว่าด้วยการ
แต่งตั้งถอดถอนไวยาวัจกร
  บรรดากฎ ข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง มติ หรือประกาศอื่นใดในส่วนที่กำหนดไว้แล้วในกฎมหาเถรสมาคมนี้
หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับกฎมหาเถรสมาคมนี้ให้ใช้กฎมหาเถรสมาคมนี้แทน
  ข้อ 4 ในกฎมหาเถรสมาคมนี้ "ไวยาวัจกร" หมายถึง คฤหัสถ์ผู้ได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่ เบิกจ่ายนิตยภัต
และจะมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาจัดการทรัพย์สินของวัดได้ ตามที่เจ้าอาวาสมอบหมายเป็นหนังสือ
  ข้อ 5 ไวยาวัจกรผู้ได้รับแต่งตั้งอยู่ก่อนวันใช้กฎมหาเถรสมาคมนี้ให้ถือว่าเป็นไวยาวัจกรตามกฎมหาเถร
สมาคมนี้ต่อไป
หมวด 1
การแต่งตั้งไวยาวัจกร

  ข้อ 6 คฤหัสถ์ผู้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นไวยาวัจกร ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
    (1) เป็นชาย มีสัญชาติไทย นับถือพระพุทธศาสนา
(2) มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์
(3) เป็นผู้มีหลักฐานมั่นคง
(4) เป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ไวยาวัจกรได้
(5) เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองตามระบอบรัฐธรรมนูญ
(6) ไม่เป็นผู้ที่มีร่างกายทุพพลภาพ ไร้ความสามารถ หรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบหรือมีโรคเป็นที่รังเกียจแก่สังคม
(7) ไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี เช่น มีความประพฤติเสเพล เป็นนักเลงการพนัน เสพสุราเป็นอาจิณ หรือติดยาเสพติดให้โทษ
(8) ไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
(9) ไม่เป็นผู้ที่เคยถูกลงโทษให้ออกจากราชการ หรือองค์การของรัฐบาล หรือบริษัทห้างร้านเอกชน ในความผิดหรือมีมลทินมัวหมองในความผิดเกี่ยวกับการเงิน
(10) ไม่เป็นผู้ที่เคยถูกลงโทษจำคุก เว้นแต่ความผิดที่เป็นลหุโทษหรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท
  ข้อ 7 ในการแต่งตั้งไวยาวัจกรของวัดใด ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าอาวาสวัดนั้น ปรึกษาสงฆ์ในวัดพิจารณา
คัดเลือกคฤหัสถ์ผู้มีคุณสมบัติตามคฤหัสต์ผู้นั้นเป็นไวยาวัจกร โดยอนุมัติของเจ้าคณะอำเภอ
  ในการแต่งตั้งไวยาวัจกรตามความในวรรคต้น เพื่อความเหมาะสมจะแต่งตั้งไวยาวัจกรคนเดียว หรือหลายคน
ก็ได้
  ในกรณีที่มีไวยาวัจกรหลายคน ให้เจ้าอาวาสมอบหมายหน้าที่การงานตามข้อ 4 แก่ไวยาวัจกรแต่ละคน
เป็นหนังสือ
หมวด 2
การพ้นจากหน้าที่ไวยาวัจกร

  ข้อ 8 ไวยาวัจกรย่อมพ้นจากหน้าที่ เมื่อ
      (1) ตาย
(2) ลาออก
(3) พ้นจากความเป็นคฤหัสถ์
(4) เจ้าอาวาสผู้แต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งหน้าที่
(5) ขาดคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งตามความในข้อ 6
(6) ให้ออกจากหน้าที่
(7) ถูกถอดถอนออกจาหน้าที่
  ข้อ 9 ไวยาวัจกรผู้ใดประสงค์จะลาออกจากหน้าที่ก็ย่อมทำได้ เมื่อเจ้าอาวาสสั่งอนุญาตแล้ว จึงเป็นอันพ้นจาก
หน้าที่ และให้เจ้าอาวาสรายงานเจ้าคณะอำเภอทราบ
  ข้อ 10 ไวยาวัจกรผู้พ้นจากหน้าที่ตามความในข้อ 8 (4) ให้รักษาการในหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งใหม
่ข้อ 11 ไวยาวัจกรผู้ขาดแคลนคุณสมบัติตามความในข้อ 8 (5) ให้เจ้าอาวาสสั่งให้พ้นจากหน้าที่แล้วรายงาน
เจ้าคณะอำเภอทราบ
  ข้อ 12 ในกรณีที่ไวยาวัจกรหย่อนความสามารถด้วยเหตุใดๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อเจ้าอาวาสเห็นสมควร
ให้ออกจากหน้าที่ก็สั่งให้ออกได้ โดยอนุมัติของเจ้าคณะอำเภอ
  ข้อ 13 การถอดถอนไวยาวัจกรออกจากหน้าที่ จะทำได้เมื่อไวยาวัจกรประพฤติมิชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง
ดังต่อไปนี้
      (1) ทุจริตต่อหน้าที่
(2) ไม่ปฏิบัติหน้าที่จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
(3) ขัดคำสั่งของเจ้าอาวาส ซึ่งสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผน เป็นเหตุให้เกิดความ
เสียหายแก่วัดอย่างร้ายแรง
      (4) ประมาทเลินเล่อในหน้าที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่วัดอย่างร้ายแรง
(5) ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
  ในกรณีเช่นนี้ ให้เจ้าอาวาสสั่งถอดถอนไวยาวัจกรผู้นั้นออกจากหน้าที่ โดยอนุมัติของเจ้าคณะอำเภอ
  ข้อ 14 ในกรณีที่ไวยาวัจกรพ้นจากหน้าที่ตามความในข้อ 8 (2) (3) (4) (5) (6) หรือ (7) ไวยาวัจกรผู้นั้นจะพ้น
จากความรับผิดชอบในหน้าที่ต่อเมื่อได้มอบหมายหน้าที่การงานพร้อมด้วยทรัพย์สินและหลักฐานต่างๆ ซึ่งอยู่ในความรับ
ผิดชอบของตน แก่ผู้รับหน้าที่แทนตนเรียบร้อยแล้ว
  การมอบหมายตามความในวรรคแรก ให้กระทำภายใน 30 วัน นับจากวันที่พ้นจากหน้าที่ ถ้ามิได้มอบหมาย
ภายในกำหนด ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบตามความในประมวลกฎหมายอาญา
  ข้อ 15 ในกรณีที่ไวยาวัจกรว่างลง และจะแต่งตั้งทันทีมิได้ ให้เจ้าอาวาสแต่งตั้งผู้รักษาการแทนไวยาวัจกร
และให้ดำเนินการเพื่อให้มีการแต่งตั้งไวยาวัจกรภายในเวลาไม่เกิน 90 วัน
  ผู้รักษาการแทนไวยาวัจกร ให้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับไวยาวัจกร
หมวด 3
เบ็ดเตล็ด

  ข้อ 16 เมื่อมีการแต่งตั้งไวยาวัจกร หรือผุ้รักษาการแทนไวยาวัจกรหรือเมื่อไวยาวัจกรพ้นจากหน้าที่ตาม
ความในข้อ 8
    (1) ในกรุงเทพมหานคร ให้เจ้าอาวาสแจ้งไปยังกรมการศาสนา
(2) ในจังหวัดอื่น ให้เจ้าอาวาสแจ้งแก่นายอำเภอ เพื่อรายงานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและกรมการศาสนา
  ข้อ 17 คำสั่งของเจ้าอาวาสในการแต่งตั้งไวยาวัจกร หรือผู้รักษาการแทนไวยาวัจกรก็ดี ในการให้ไวยาวัจกร
หรือผู้รักษาการแทนไวยาวัจกร พ้นจากหน้าที่ก็ดีให้กระทำเป็นหนังสือ
    ตราไว้ ณ วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2536
     

(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม
 

 

ตราตั้งไวยาวัจกร

  อาศัยอำนาจตามความในข้อ 7 แห่งกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2536) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอน
ไวยาวัจกร และโดยอนุมัติของเจ้าคณะอำเภอ
  จึงแต่งตั้งให้ .................................................................................เป็น................................................
วัด...............................................................ตำบล..................................................อำเภอ.....................................
จังหวัด .......................................................................... มีอำนาจหน้าที่ตามความในข้อ 4 แห่งกฎมหาเถรสมาคม
ดังกล่าวข้างต้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    สั่ง ณ วันที่ ............................................พ.ศ. .....................
     

 

เจ้าอาวาสวัด................................................................

       

เอกสารอ้างอิง
1. ศัพทานุกรม หน้า 269 หนังสือวินัยมุข เล่ม 1 ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
  พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2526
2. พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต) ปัจจุบันเป็นพระธรรมปิฏก
  พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2527
3. นวโกวาท (หลักสูตรนักธรรมชั้นตรี) ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
  พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2525
4. หนังสือวินัยมุข เล่ม 1 ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2526
5. หนังสือวินัยมุข เล่ม 2 ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2524
6. ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 85 ตอนที่ 98 วันที่ 29 ตุลาคม 2511 ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม 56
  ตอนที่ 13 วันที่ 25 พฤศจิกายน 2511
7. มาตรา 23 และมาตรา 45 ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
8. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 109 ตอน 42 วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2535
9. ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม 81 ตอนที่ 4 วันที่ 25 เมษายน 2536
   
ที่มาของบทความ : โฮมเพจของ "สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" คณะผู้จัดทำโฮมเพจพิจารณาเห็นว่ามีสาระประโยชน์
และมีสาระครอบคลุมเรื่องราวทั้งหมด จึงขออนุญาตนำมาเสนอไว้ให้ผู้สนใจได้อ่านอีกครั้งหนึ่ง จึงขอขอบคุณ เจ้าของบทความดังกล่าวไว้เป็นอย่างสูง ณ ที่นี้ด้วย

 

กลับไปหน้าแรก
กลับไปหน้า Web วัดท่าไทร
ไป Web สำนักงานเจ้าคณะภาค ๑๖
ไป Web ศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์วัดท่าไทร