การจัดระเบียบสังคม
โดยทั่วไปหมายถึง การทำให้สังคมมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยดีงาม รวมทั้งการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข
องค์ประกอบการจัดระเบียบสังคมในทางสังคมวิทยาจะประกอบด้วย วัฒนธรรม
โครงสร้างทางสังคม การขัดเกลาทางสังคม นิวเศวิทยา ครอบครัว ศาสนา เศรษฐกิจและการเมืองในทางพระพุทธศาสนา
มีหลักคะสอนและหลักปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสังคมและสะท้องถึงเจตนารมณ์ของพระพุทธศาสนาในด้านความสัมพันธ์ทางสังคมมากที่สุดก็คือ
คำสอนและหลักปฏิบัติในขั้น ศีล เพราะศีลเป็นระบบการควบคุมชีวิตด้านนอกเกี่ยวด้วยการแสดงออกทางกาย
วาจาเป็นระเบียบว่าด้วยความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
การดำเนินกิจการต่าง ๆ ของหมู่ การจัดสภาพความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมให้เรียบร้อยและเกื้อกูลแก่การดำรงอยู่ด้วยดีของหมู่ชนนั้น
และแก่ความผาสุขแห่งสมาชิกทั้งปวงของหมู่ชน อันจะเอื้ออำนวยให้ทุกคนสามารถบำเพ็ญกิจการที่ดีงามยิ่งๆ
ขึ้นไป ศีลพื้นฐานหรือขั้นต้นที่สุด คือศีล 5 (พระธรรมปิฏก, 2545:431)
อย่างไรก็ตามปัญหาวิกฤตทางสังคมต่างๆ
นั้น เกิดขึ้นจาก คน ดังนั้นการที่จะดำเนินการไม่ให้สังคมเกิดความวุ่นวายหรือเกิดวิกฤติ
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการแก้ไขปัญหาที่เป็นต้นเหตุ นั่นคือ คน
เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งปวง การดำเนินการจัดสังคมให้เป็นระเบียบจะดำเนินการอยู่
3 ระดับ คือ
ระดับที่
1 การควบคุมพฤติกรรมของคนในทางโลก เครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของคน
ก็คือ ระเบียบข้อบังคับ กฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม ส่วนในทางพระพุทธศาสนาเห็นว่า
ศีล เป็นเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของคน ศีลแบ่งออกเป็น 2 ระดับ
ระดับที่หนึ่ง ระดับธรรม คือ เป็นข้อแนะนำสั่งสอน หรือหลักของความประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม
เช่น โอวาทปาฏิโมกข์ กฏแห่งกรรม เป็นต้น ระดับที่สอง ระดับวินัย คือเป็นแบบแผนข้อบังคับที่บัญญัติไว้
คำว่าวินัย มีความหมายอยู่ 2 นัยคือ (พระธรรมปิฏก,2543:449-450)
ก.
การฝึกให้มีความประพฤติและความเป็นอยู่เป็นระเบียบแบบแผน หรือการบังคับควบคุมตนให้อยู่ในระเบียบแบบแผน
รวมทั้งการใช้ระเบียบแบบแผนต่างๆ เป็นเครื่องจัดระเบียบความประพฤติ
ความเป็นอยู่ของตนและกิจการของสังคม
ข.
ระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์ ข้อบังคับต่างๆ ที่วางไว้เป็นหลักหรือเป็นมาตรฐานสำหรับใช้ฝึกคนหรือใช้บังคับควบคุมตนตลอดจนเป็นเครื่องจัดระเบียบความประพฤติ
ความเป็นอยู่ของคนและกิจการของสังคมให้เรียบร้อยดีงาม
ดังนั้น ความสำนึกในการรักษาศีลหรือปฏิบัติตามศีล แยกออกเป็น 2 ด้าน
คือ การฝึกหัดขัดเกลาตนเอง และการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นหรือของสังคม
ศีลในระดับวินัย เรียกว่า คิหิวินัย พระธรรมปิฏกกล่าวถึงวินัยชาวพุทธ
ที่จะต้องปฏิบัติเป็นมาตรฐาน ดังนี้คือ
กฎที่ 1: เว้นจากความชั่ว
14 ประการ คือ
1)
กุศลกรรมบท 10 ได้แก่ ทางกาย 3 ประการ คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์
เว้นจากความประพฤติผิดในกาม ทางวาจา 4 ประการ คือ เว้นจากการกล่าวเท็จ
เว้นจากการกล่าวส่อเสียด เว้นจากการกล่าวคำหยาบ และเว้นจากการกล่าวเพ้อเจ้อ
ทางใจ 3 ประการ คือ เว้จากความโลภ เว้นจากการพยาบาท และเว้นจากความหลงผิด
2)
เว้นจากอคติ 4 คือ ลำเอียงเพราะชอบ ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียงเพราะกลัว
ลำเอียงเพราะเขลา
3)
เว้นจากอบายมุข 6 คือ ไม่ดื่มของมึนเมาทุกชนิด ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่เที่ยวดูการมหรสพต่าง
ๆ ไม่เล่นการพนัน ไม่คบคนชั่ว เป็นมิตรและไม่เกียจคร้านทำการงาน
4)
ปฏิบัติตามทิศ 6 เป็นต้น
กฎที่ 2 เตรียมทุนชีวิต
2 ด้าน คือ
ก.เลือกสรรคนที่จะเสวนา
คบคนที่จะนำชีวิตไปในทางแห่งความเจริญและสร้างสรรค์ โดยหลักเว้นมิตรเทียม
คบหามิตรแท้คือ
1)
รู้ทันมิตรเทียม 4 ประเภท คือ
(1)
คนปอกลอก มีลักษณะ 4 คือ คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว,ยอมเสียน้อย โดยหวังเอามาก,
ตัวมีภัย จึงมาช่วยทำกิจของเพื่อน และคบเพื่อน เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์
(2)
คนดีแต่พูด มีลักษณะ 4 คือ ดีแต่ใช้ของหมดแล้วมาปราศรัย ,สงค์เคราะห์ด้วยสิ่งที่หาประโยชน์มิได้
และเมื่อเพื่อนมีกิจอ้างแต่เหตุขัดข้อง
(3)
คนหัวประจบ มีลักษณะ 4 คือ จะทำชั่วก็เห็นด้วย , จะทำดีก็เห็นด้วย,ต่อหน้าสรรเสริญ
และลับหลังนินทา
(4)
คนชวนฉิบหาย มีลักษณะ 4 คือ คอยเป็นเพื่อนดื่มน้ำเมา, คอยเป็นเพื่อนเที่ยวกลางคืน
, คอยเป็นเพื่อนเที่ยวดูการเล่น และคอยเป็นเพื่อนไปเล่นการพนัน
2)
รู้ถึงมิตรแท้ 4 ประเภท คือ
(1)
มิตรมีอุปการะ มีลักษณะ 4 คือ เพื่อนประมาท ช่วยรักษาเพื่อน , เพื่อนประมาท
ช่วยรักษาทรัพย์สินของเพื่อน , เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ และมีกิจจำเป็น
ช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก
(2)
มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มีลักษณะ 4 คือ บอกความลับแก่เพื่อน,รักษาความลับของเพื่อน,
มีภัยอันตราย ไม่ละทิ้ง และแม้ชีวิตก็สละให้ได้
(3)
มิตรแนะนำประโยชน์ มีลักษณะ 4 คือ จะทำชั่วเสียหาย คอยห้ามปราม,แนะนำสนับสนุนให้ตั้งอยู่ในความดี
,ให้ได้ฟัง ได้รู้สิ่งที่ไม่เคยได้รู้ได้ฟัง และบอกทางสุขทางสวรรค์ให้
(4)
มิตรมีใจรัก มีลักษณะ 4 คือ เพื่อนมีทุกข์ พลอยไม่สบายใจ,เพื่อนมีสุข
พลอยยินดีด้วย, เขาติเตียนเพื่อนช่วยยับยั้งแก้ให้และเขาสรรเสริญเพื่อน
ช่วยพูดเสริมสนับสนุน
ข.จัดสรรทรัพย์ที่หามาได้
ด้วยสัมมาชีพ ดังนี้
ขั้นที่
1 ขยันหมั่นทำงานเก็บออมทรัพย์ ดังผึ้งเก็บรวบรวมน้ำหวาน
ขั้นที่
2 เมื่อทรัพย์มากมาย พึงวางแผนใช้จ่ายคือ
-
แบ่ง 1 ส่วน เลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัว ดูแลคนเกี่ยวข้อง ทำความดี
-
แบ่ง 2 ส่วน ใช้ทำหน้าที่การงานประกอบกิจการอาชีพ
-
แบ่ง 3 ส่วน เก็บไว้เป็นหลักประกันชีวิตและกิจการคราวจำเป็น
กฎที่ 3: รักษาความสัมพันธ์ 4
ทิศ
ก. ทำทุกทิศให้เกษมสันต์
คือปฏิบัติหน้าที่ต่อบุคคลที่สัมพันธ์กับตนให้ถูกต้องตามฐานะทั้ง 6
คือ
ทิศที่ 1 ทิศเบื้องหน้า ในฐานะบุตรพึงเคารพบิดามารดาและบิดามารดาพึงอนุเคราะห์บุตร
ทิศที่ 2 ทิศเบื้องขวา ในฐานะที่เป็นศิษย์
พึงแสดงความเคารพอาจารย์ และอาจารย์พึงอนุเคราะห์ศิษย์
ทิศที่ 3 ทิศเบื้องหลัง ในฐานะที่เป็นสามีพึงให้เกียรติบำรุงภรรยา
และภรรยาพึงอนุเคราะห์ตอบ
ทิศที่ 4 ทิศเบื้องซ้าย ในฐานะที่เป็นมิตรสหาย
พึงปฏิบัติต่อมิตรสหาย และมิตรสหายพึงอนุเคราะห์ตอบ
ทิศที่ 5 ทิศเบื้องล่าง ในฐานะที่เป็นนายจ้าง
พึงบำรุงลูกน้องและลูกน้องพึงแสดงน้ำใจต่อนายจ้าง
ทิศที่ 6 ทิศเบื้องบน ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน
พึงแสดงความเครารพนับถือต่อพระสงฆ์ และพระสงฆ์พึงอนุเคราะห์คฤหัสถ์
ข.เกื้อกูลกันประสานสังคม
คือ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ร่วมสร้างสรรค์สังคม ให้สงบสุขมั่นคงสามัคคีมีเอกภาพ
ด้วยสังคหวัตถุ 4 คือ
1)
ทาน คือ เผื่อแผ่แบ่งปัน
2)
ปิยวาจา คือ พูดวาจาไพเราะอ่อนหวาน
3)
อัตถจริยา คือ ทำประโยชน์แก่สังคม บำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ
4)
สมานัตตตา คือ ช่วยประสานสัมพันธ์
เรื่องของศีลทางสังคม
ซึ่งอยู่ฝ่ายของวินัยนั้น ย่อมครอบคลุมเรื่องการจัดระเบียบชีวิตด้านนอกทั้งหมด
เท่าที่จะช่วยทำสภาพความเป็นอยู่โดยทั่วไป กิจการทั้งหลายของสังคม
ความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม และสภาพแวดล้อมที่ควรจัดได้ ให้มีสภาพที่เกื้อกูลแก่ความเจริญงอกงามของชีวิตตนเอง
และส่งผลต่อการเจริญงอกงามของสังคมโดยรวมด้วย
ระดับที่
2 สร้างจิตสำนึก การควบคุมพฤติกรรมของคนเป็นการควบคุมเบื้องต้น
สามารถควบคุมพฤติกรรมได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างจิตสำนึกให้กับ
คนในสังคมให้มีจิตสำนึกที่ดีงาม และเป็นกรอบในการควบคุมพฤติกรรมของตนเองในระดับที่สูงขึ้น
ดังนั้นกระบวนการสร้างจิตสำนึกจะต้องควบคุมโดยอาศัย สมาธิ โดยการสร้างจิตที่มีคุณภาพ
สร้างสมรรถภาพทางจิตและสร้างสุขภาพจิตที่ดี ดังที่กล่าวแล้วในเบื้องต้น
กระบวนการของสมาธิถือว่าเป็น เกราะป้องกันจิต ไม่ให้ลุ่มหลงมัวเมาในอกุศล
หรือความชั่วทั้งหลาย เช่นมีความอดทน(ขันติ) มีความข่มใจ(ทมะ) ต่อสิ่งยั่วยุทั้งหลาย
เป็นต้น
ระดับที่
3 สร้างองค์ความรู้ การสร้างองค์ความรู้ที่ถูกต้อง เข้าใจสภาพตามความเป็นจริง
ถือว่า เกิด ปัญญา การมีปัญญาสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง
ใช้ปัญญาไปในทางที่ดีงาม ก็จะก่อให้เกิดการดำเนินวิถีชีวิตได้อย่างมีสันติสุขได้ในที่สุด
**************************
ที่มา.-http://mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m2/Unit7/unit7-2.php
|