เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2553 - 1 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ผ่านมา เครือข่ายพระสงฆ์และผู้แทนศูนย์ต้นกล้าคุณธรรมสวัสดิการชุมชน
ได้เปิดเวทีเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เวทีเครือข่ายพระสงฆ์กับการพัฒนาชุมชน
แนวทางพัฒนาศูนย์เรียนรู้องค์กรการเงินและสวัสดิการชุมชน ณ วัดไผ่ล้อม
จังหวัดตราด โดยเวทีดังกล่าวมุ่งเน้นให้เกิดการจุดประกายให้เครือข่ายพระสงฆ์เกิดความร่วมมือในการจัดสวัสดิการชุมชน
รวมถึงหาแนวทางการประสานหลักศาสนธรรมเพื่อพัฒนาแนวทางในการพัฒนชุมชนและระบบสวัสดิการอย่างยั่งยืน
ในวันที่ 31 มกราคม 2553 เป็นกิจกรรมใหญ่ที่รวมกัลยาณมิตรทางธรรม และเครือข่ายสัจจะสะสมทรัพย์เพื่อสวัสดิการทุกสารทิศ
ต่างมาร่วมกันทั้งในจังหวัดตราดและพื้นที่ใกล้เคียง ในวัน วันมงคลเสวนา
โดยกิจกรรมประกอบด้วย ตลาดนัดโพธิสัตว์ค้าขายโดยชุมชนและธนาคารขยะเป็นต้น
กิจกรรมทั้งหมดจะนำดอกผลจากการจำหน่ายและประมูลสินค้ามาเข้ากองทุนสัจจะสะสมทรัพย์เพื่อการพัฒนาสวัสดิการร่วม
และกิจกรรมที่เป็นสีสันของงานของงานคือ วงเสวนากองทุนสวัสดิการเพื่อความเข้มแข็งของชุมชน
ในพื้นที่ลานธรรมที่ทุกคนต่างมาร่วมกันด้วยใจที่ศรัทธาร่วมกัน
พระอาจารย์ สุบิน ปณีโต เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมกล่าวว่า การนำธรรมมะมาเกี่ยวข้องกับการเงิน
เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันกับชุมช สิ่งนั้นคือความซื่อสัตย์และนำมาปรับเป็นหลักการของการของกองบุญสัจจะ
แต่มนุษย์ทุกคนล้วนมีการเกิดแก่เจ็บตาย จะมีการหาหลักพึ่งพิงการดำเนินการอย่างไร
และสร้างความเป็นปึกแผ่นของชุมชนจึงนำธรรมวมะเข้ามาเป็นฐานในการทำงาน
จึงจำเป็นต้องมีสวัสดิการ ดังนั้นรูปแบบการพัฒนาระบบสวัสดิการของวัดไผ่ล้อมจึงเป็น
(การเงิน-กลุ่มสัจจะ-ระบบการเงิน-การจัดสวัสดิการ) ณ ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ
62,542 คน มีงบประมาณหมุนเวียนรวมกว่า 1,097,416,703 บาท
และการนำหลักการมาปฏิบัติ เป็นรูปแบบสัจจะของความจริง เพื่อใช้หลักศาสนธรรมชี้นำให้เห็นหนทาง
เห็นยามเจ็บจนและแก่ ถ้าเห็นว่าสำคัญเราต้องการทำให้เห็นกระบวนการทำงานให้ได้
ต้องสร้างสวัสดิการเพื่อให้ชุมชนเข็มแข็ง ต้องมาหาแนวทางการทำงานอย่างไรดีขึ้นยั่งยืนยิ่งขึ้น
เราต้องประหยัดและมีความซื่อสัตย์เพื่อกระบวนการทำงานที่ยั่งยืน จัดการคนไม่มีธรรมให้มีธรรมนำมาเข้าวงจรให้ได้
โดยอาศัยกระบวนการการเงินของชาวบ้าน การเชื่อมโยงแนวทางการทำงานเศรษฐกิจชุมชนตนเอง
การบังคับให้สมาชิกเกิดการทำบัญชีครัวเรือน จึงสามารถมากู้เงินได้ของกลุ่ม
และพัฒนากรรมการของกลุ่มให้เป็นไปตามทิศทางเดียวกัน พระอาจารย์ สุบิน
ปณีโต กล่าวย้ำ
พระอาจารย์มนัส ขันติธัมโม ผู้ริเริ่มเครือข่ายสัจจะสะสมทรัพย์ จังหวัดจันทบุรี
และที่ปรึกโครงการสนับสนุนการจัดสวัสดิการชุมชน ได้ร่วมแลกเปลี่ยนเพื่อหาแนวทาง
โดยกล่าวว่า กลุ่มสัจจะในจังหวัดจันทบุรีเกิดจากเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากจังหวัดตราด
เห็นแล้วเกิดการประทับใจในกระบวนการการทำงานเพื่อการพัฒนานำมาใช้ในพื้นที่จันทบุรีได้
จึงเริ่มนำแนวคิดมามีการก่อตั้ง 10 มีนาคม 2539 ตำบลท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี
ใช้วัดเป็นฐาน ใน 1 วัด จะมี 1 กลุ่ม โดยมีวัดเข้าร่วมทั้งสิ้น125
วัด มีสมาชิกประมาณ 50,000 คน และงบประมาณโดยรวมประมาณ 500,000,000
บาท ที่ทำให้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วก็คือ ทุกคนอยากได้สวัสดิการ
วิธีการทำให้สวัสดิการโตเร็วและเคลื่อนไปอย่างมั่นคงมากขึ้น คือการลดเงินปัญผลให้น้อยลงไปเรื่อยๆ
และมีแนวทางในการชี้แจงเป็นแนวทางการดำเนินการอย่างชัดเจน การแบ่งเงินกำไรออกมาเป็น
2 ส่วน 70 เปอร์เซนต์ปันผล 30 เปอร์เซนต์กลับเขามาส่วนกลางกลุ่มสัจจเป็นเรื่องการบริหารจัดการก่อน
แล้วจึงมีเงินที่สามารถเอามาจัดการสวัสดิการได้
ด้าน อาจารย์ ภีม ภคเมธาวี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้สะท้อนระบบภาครัฐในการจัดการระบบสวัสดิการและองค์กรการเงินในปัจจุบันว่า
แนวทางเข้าถึงสวัสดิการของรัฐรูปแบบการจัดการ สิ่งที่ชุมชนทำอยู่ภาครัฐเข้ามาช่วยส่งเสริมและเกิดการเข้ามาร่วมมือและเข้ามาร่วมได้อย่างไร
รัฐบาลมีการใช้รูปแบบการจัดสวัสดิการที่มีหลายระดับ จากระบบการเสียภาษีของประชาชนให้กับภาครัฐ
และกลไกการจัดการระยะที่ผ่านมารัฐบาลเริ่มใช้กลไกชุมชนเข้ามาเริ่มจัดกระบวนการทิศทาง
อาทิ กองทุน กขคจ. รัฐโยนลงมาในหมู่บ้าน หมู่บ้านดำเนินการจัดการกันเอง
หมู่บ้านไหนเข้มแข็งเกิดการหมุนเวียนพัฒนา แต่ว่าหมู่บ้านไหนอ่อนแอเงินทุนจะน้อลลงและยุบกลุ่มไปในที่สุด
เช่นเดียวกับเงินกองทุนหมู่บ้านให้ตั้งกรรมการและเกิดการบริหารกันเอง
หมู่บ้านไหนเข้มแข็งดูแลกันได้ หมูบ้านไหนอ่อนแอก็หมดไป ไม่สามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลพยายามใช้กลไกชุมชนเป็นการจัดการกันเอง ความแตกต่าง เงินที่รัฐบาลโยนลงมาคือ
การติดตามอย่างต่อเนื่องให้หมู่บ้านนั้นๆมีความเข้มแข็งขึ้น มีผู้ชี้นำอย่างที่ถูกควรก็จะเป็นแนวทางการดำเนินการอย่างถูกต้องต่อไป
ต้องให้กระบวนการเรียนรู้ชุมชนช่วยกันเป็นพี่เลี้ยงพัฒนาระบบการบริหารจัดการ
ดังนั้นเงินเป็นทั้งสิ่งที่ดีที่ช่วยสร้างพลังองค์กรชุมชนและชุมชนให้เข้มแข็ง
แต่อีกด้านก็เป็นเสมือนงูพิษ หรือ รูปแบบการทำที่ทำให้ชุมชนล่มสลาย
ดังนั้น ชุมชนจะเข้มแข็งและจัดการให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็ง
การนำธรรมะไปสู่ชุมชน ผ่านเครืองมือที่เรียกว่า สวัสดิการชุมชนจะมีแนวทางการดำเนินงานอย่างไรอย่างยั่งยืนและเกิดประสานความร่วมมืออย่างจริงจัง
ดร.ทิพวัลย์ สีจันทร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวทิ้งท้าย
**************************
กลับไปหน้า
Web วัดท่าไทร
ไป Web สำนักงานเจ้าคณะภาค ๑๖
ไป Web ศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์วัดท่าไทร |