ความหมายของ "มูลนิธิ"
โดย พระเทพพิพัฒนาภรณ์ (ชูชาติ กนฺตวณฺโณ ป.ธ.๕,น.ธ.เอก)
เจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี
และ เจ้าอาวาสวัดท่าไทร รูปปัจจุบัน

************

Image            คำว่า "มูลนิธิ" หมาถึงทรัพย์สินที่ผู้บริจาคมีศรัทธาตั้งไว้เป็นทุน เพื่อจัดหาผลประโยชน์มาบำรุงสาธารณกุศลต่าง ๆ โดยรักษาต้นทุนเดิมไว้ ไม่ใช้จ่าย และหาวิธีเพิ่มเติมต้นทุนเดิให้มีมากขึ้น เพื่อจะได้จัดหาผลประโยชน์ได้มากขึ้นด้วย

            ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสเรียกการบริจาคทรัพย์เป็นมูลนิธิเช่นนี้ว่า "บุญนิธิ" แปลว่า ขุมทรัพย์คือบุญ มีปรากฎอยู่ในนิธิกัณฑคาถา ดังข้อความต่อไปนี้

            บุคคลย่อมฝังขุมทรัพย์ไว้ในที่มีน้ำเป็นที่สุดด้วยคิดว่า เมื่อมีความต้องการด้วยประโยชน์อย่างไร ก็จักได้ใช้ทรัพย์ที่ฝังไว้ให้เป็นประโยชน์อย่างนั้นแก่เรา

            เมื่อถูกศัตรูใส่ความว่า "เราเป็นคนร้าย" ทรัพย์ที่ฝังไว้ก็จักได้ช่วยเหลือแก้ไขให้พ้นภัยเช่นนั้นได้
            เมื่อถูกโจรผู้ร้ายทำอันตรายก็จักได้ใช้ทรัพย์ที่ฝังไว้แก้ไขให้พ้นจากโจรผู้ร้ายได้
            เมื่อมีหนี้สินเกิดขึ้น ก็จักไดเอาทรัพย์ที่ฝังไว้ใช้หนี้เขาไป

            เมื่อมีภัยต่าง ๆเกิดขึ้น เช่น ทุพภิกขภัย คือ ภัยที่เกิดขึ้นจากความอดอยากเป็นต้น ทรัพย์ที่ฝังไว้ก็จักช่วยแก้ไขให้รอดพ้นจากความอดอยากได้

            การฝังทรัพย์ไว้ในโลก ก็เพื่อประโยชน์ต่าง ๆ ดังที่กล่าวแล้วและประโยชน์อย่างอื่น ๆ อีก แต่ว่าทรัพย์ที่ฝังไว้เป็นอย่างดี ในที่มีน้ำลึกเป็นที่สุดเช่นนั้น ก็ไม่อาจสำเร็จ จะสำเร็จประโยชน์ทุก ๆ อย่างได้เสมอไปในกาลทุกเมื่อ เพราะว่า ขุมทรัพย์ที่ฝังไว้เคลื่อนไปจากที่เดิมเสียบ้าง ความจำของผู้ฝังคลาดเคลื่อน จำที่ฝังไม่ได้เสียบ้าง อมนุษย์ เช่น นาค ยักษ์ ภูตผี ปีศาจ มาลักลอบเอาไปเสียบ้าง คนที่รู้เรื่องมาลอบขุดไปในเมื่อเจ้าของไม่เห็นเสียบ้าง ในเวลาเจ้าของตาย ขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ก็สูญเสียไปไม่เป็นประโยชน์แก่ใคร แม้เจ้าของก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร

            ส่วนว่า "บุญนิธิ" ขุมทรัพย์คือ บุญของผู้ใด จะเป็นชายก็ตามเป็นหญิงก็ตาม ที่ฝังไว้ในกองบุญต่าง ๆ มี ทานเป็นต้น ขุมทรัพย์ก็คือบุญนั่นชื่อว่าฝังไว้ดีแล้ว ใคร ๆ ไม่อาจทำอันตรายได้ เป็นของติดตามตัวไปได้

            บรรดาทรัพย์สิน สมบัติต่าง ๆ ในเวลาตาย เจ้าของก็ละทิ้งไปจะพาเอาไปได้เฉพาะขุมทรัพย์คือบุญเท่านั้น

            ขุมทรัพย์คือบุญไม่ทั่วไปแก่คนอื่น ใครทำก็เป็นของผู้นั้น โจรผู้ร้ายก็ชิงเอาไปไม่ได้ ใครก็โกงไม่ได้ ไฟก็ไหม้ไม่ได้ น้ำก็ท่วมไม่ได้
ผู้เป็นนักปราชญ์ ต้องสร้างสมขุมทรัพย์คือบุญที่จะติดตามตนไปในที่ทุกสถาน

            ขุมทรัพย์คือ บุญนั้น ให้สมบัติที่ต้องการทุก ๆ อย่างแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์ทั้ง หลายปรารถอยากจะได้ สมบัติใด ๆ สมบัตินั้น ๆ ก็สำเร็จได้ด้วย ขุมทรัพย์คือบุญ

            ความเป็นผู้มีผิวพันพรรณงาม ความเป็นผู้มีเสียงไพเราะ ความเป็นผู้มีทรวดทรงดี ความเป็นผู้มีรูปสวย ความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ความเป็นผู้มีบริวารมาก สมบัติทั้งปวงนี้ สำเร็จได้ด้วยขุมทรัพย์คือบุญ

            ความเป็นพระราชา ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ ความเป็นพระอินทร์ ความเป็นพระพรหม สมบัติทั้งปวงนี้ ก็สำเร็จได้ด้วยขุมทรัพย์คือ บุญ

            มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ สมบัติทั้งปวงนี้ ก็สำเร็จได้ด้วยขุมทรัพย์คือบุญ วิชา ความรู้แจ้งแทงตลอด วุมุตติ ความหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ ปฏิสัมภิทา ความเชี่ยวชาญในเหตุผลต่าง ๆ สมบัติทั้งหลายนี้ ก็สำเร็จด้วยขุมทรัพย์คือ บุญ

            สาวก ปัจเจกภูมิ พุทธภูมิ สมบัติทั้งปวงนี้ ก็สำเร็จได้ด้วยขุมทรัพย์คือบุญ ขุมทรัพย์คือบุญ มีประโยชน์มากยิ่งอย่างนี้ เพราะเหตุนั้นนักปราชญ์ผู้มีปัญญา จึงสรรเสริญบุคคลผู้สร้างสมขุมทรัพย์คือบุญ

            โดยเฉพาะผู้มีศรัทธาบริจาคทรัพย์ตั้งเป็นมูลนิธิ ก็คือผู้สร้างสมบุญนิธิ ขุมทรัพย์คือบุญก็ย่อมจะได้รับอานิสงส์คือ สมบัติต่าง ๆ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ในนิธิกัณฑคาถาตามที่แสดงมาแล้วนั้น

            มูลนิธิก็คือบุญนิธิ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในนิธิกัณฑคาถา ผู้มีศรัทธาทรัพย์ตั้งเป็นมูลนิธิ ก็คือได้ทำบุญนิธิตามที่พระพุทธตรัสสอน ชื่อว่าได้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

            มูลนิธิยังตั้งอยู่ตราบใด ผู้ตั้งมูลนิธิก็ได้บุญอยู่ตราบนั้น แม้ตายไปแล้วมูลนิธิยังอยู่ ผู้ตายก็ยังได้บุญ ชื่อว่าได้ บุญอยู่เป็นนิตย์ ทุกเวลา ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน ทั้งเวลาหลับและเวลาตื่น

            ผู้จัดการมูลนิธิ เอาดอกผลประโยชน์จากมูลนิธิ ไปทำอาหารเลี้ยงพระ ผู้ตั้งมูลนิธิก็ชื่อว่าได้ทำบุญเลี้ยง พระด้วย ถ้าเอาไปก่อสร้าง ซ่อมแซมเสนาสนะสงฆ์ด้วย ถ้าเอาไปใช้จ่ายในการบุญใด ๆ ผู้ตั้งมูลนิธิ ก็ชื่อว่าได้บุญนั้น ๆ ด้วย

            ฉะนั้น จึงเป็นการดีอย่างยิ่งที่จะบริจาคทรัพย์เป็นทุนมูลนิธิไว้จักได้บุญได้อานิสงฆ์มากดังกล่าวมา

 

พระเทพพิพัฒนาภรณ์
(ชูชาติ กนฺตวณฺโณ ป.ธ.๕,น.ธ.เอก)
เจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี
และ เจ้าอาวาสวัดท่าไทร

 

ที่มา : หนังสือตราสารของ "สิญจน์อุทิศดิตถารามมูลนิธิ" หน้า ๖

กลับไปหน้า Web วัดท่าไทร
ไป Web สำนักงานเจ้าคณะภาค ๑๖
ไป Web ศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์วัดท่าไทร

ไป Web ศูนย์พัฒนาคุณธรรมภาคใต้
ไป Web วิทยุชุมชนตำบลท่าทองใหม่
ไป Web ชมรมวีอาร์ร้อยเกาะสุราษฎร์ธานี