การเข้าพรรษา
เป็นพุทธบัญญัติ ซึ่ง พระภิกษุทุกรูปจะต้องปฏิบัติตาม หมายถึง การอธิษฐานอยู่ประจำที่
ไม่เที่ยวจาริกไปยังสถานที่ต่าง ๆ เว้นแต่มีกิจจำเป็นจริง ๆ
ช่วงจำพรรษาจะอยู่ในระหว่างฤดูฝนคืนแรม
1 คํ่า เดือน 8 ถึง ขึ้น 15 คํ่า เดือน 11 ของทุกปีดังนั้น วันเข้าพรรษา
หมายถึง วันที่พระภิกษุในพระพุทธศาสนาอธิษฐานอยู่ประจำในวัด หรือเสนาสนะที่คุ้มแดดคุ้มฝนได้แห่งหนึ่ง
ไม่ไปค้างแรมในที่อื่น ตลอด 3 เดือนในฤดูฝน
ความสำคัญ.-
วันเข้าพรรษานี้
มีความสำคัญต่อพุทธศาสนิกชน และเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาด้วยเหตุผลดังนี้
พระภิกษุจะหยุดจาริกไปยังสถานที่อื่น
ๆ แต่จะเข้าพักอยู่ประจำในวัดแห่งเดียวตามพุทธบัญญัติ
การที่พระภิกษุอยู่ประจำที่นาน ๆ ย่อมมีโอกาสได้สงเคราะห์กุลบุตร ที่ประสงค์จะอุปสมบท
เพื่อการศึกษาพระธรรมวินัยและสงเคราะห์พุทธบริษัททั่วไป
เป็นเทศกาลที่พุทธศาสนาสนิกชนงดเว้นอบายมุขและความชั่วต่าง ๆ เช่น
การดื่มสุรา สิ่งเสพติด และการเที่ยวเตร่เฮฮา เป็นต้น
นอกจากเป็นเทศกาลที่พุทธศาสนิกชนงดเว้นอบายมุขและความชั่วต่าง ๆ แล้ว
ในช่วงเวลาพรรษาพุทธศาสนิกชนทั่วไปจะบำเพ็ญทานรักษาศีล ฟังธรรม และเจริญภาวนามากขึ้น
ประวัติความเป็นมา.-
ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า
เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวันเมืองราชคฤห์
แคว้นมคธมีเหตุการณ์เกิดขึ้นคือพวกชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง พากันกล่าวตำหนิพระสงฆ์
ในพระพุทธศาสนาว่า ช่างไม่รู้จักกาลเวลาเสียเลย พากันจาริกไปเรื่อย
ๆ ไม่หยุดยั้ง แม้ในระหว่างฤดูฝน บางครั้งก็ไปเหยียบข้าวกล้าของชาวนาเสียหาย
ขณะที่พวกนิครณถ์ นักบวชในศาสนาอื่น และฝูงนกยังหยุดพักผ่อน ไม่ท่องเที่ยวไปในฤดูฝนเช่นนี้
เรื่องนี้ทราบถึงพระพุทธเจ้าในกาลต่อมา พระองค์จึงทรงรับสั่งให้พระสงฆ์ประชุมพร้อมกัน
ตรัสถามจนได้ความเป็นจริงแล้ว จึงทรงบัญญัติเรื่องการเข้าพรรษาไว้ว่า
อนุชานามิ ภิกขะเว วัสสัง อุปะคันตุง แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้พวกเธออยู่จำพรรษา
วันเข้าพรรษานี้
โดยทั่วไปกำหนดในวันแรม 1 คํ่า เดือน 8 เรียกว่า วันเข้าพรรษาแรก (ปุริมพรรษา)
ถ้าปีใดเป็นอธิกมาส มี เดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเข้าพรรษา ในวันแรม
1 คํ่า เดือน 8 หลัง ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นไม่สามารถเข้าพรรษาได้ ก็เลื่อนเข้าพรรษาในแรม
1 คํ่า เดือน 9 ก็ได้ไปสิ้นสุดเอาวันขึ้น 15 คํ่า เดือน 12 เรียกว่า
วันเข้าพรรษาหลัง (ปัจฉิมพรรษา)
การถือปฏิบัติวันเข้าพรรษาในประเทศไทยสมัยก่อน
ประชาชนไทยส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม จะเริ่มทำไร่ทำนาปักดำข้าวกล้าก่อนพรรษากาล
พอพระสงฆ์เข้าพรรษา ก็จะเสร็จงานในไร่นา ย่อมมีเวลาว่างมาก ประกอบกับการคมนาคมไปมาระหว่างสถานที่ต่าง
ๆ ก็ไม่ค่อยสะดวกเนื่องจากฝนตกชุก และนํ้าเจิ่งนองเต็มแม่นํ้าลำคลองทั่วไป
ชาวบ้านจึงถือโอกาสเข้าวัดถวายทาน รักษาศีล ฟังธรรมและเจริญภาวนาเพิ่มพูนบุญกุศลกันมากขึ้น
ดังนั้น เมอื ถึงวันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชน ก็พากันหาอาหารทั้งคาวหวาน
ผลไม้ และเครื่องอุปโภคที่จำเป็นแก่สมณะนำไปถวายพระภิกษุสงฆ์ ในวัดใกล้บ้านตน
พระภิกษุสงฆ์ก็แนะนำสั่งสอนให้เกิดศรัทธาในการปฏิบัติ ตามหลักทาน ศีลและภาวนาและความไม่ประมาทในการประกอบคุณความดีอื่น
ๆ
ตามประวัติศาสตร์
พุทธศาสนิกชนชาวไทย ได้เริ่มบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษานี้ตั้งแต่
สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีดังข้อความในศิลาจารึก ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ว่า พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาวแม่ชาวเจ้าทั้งท่วยปั่วท่วยนาง
ลูกเจ้าลูกขุนทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งหญิงทั้งชาย ฝูงท่วยมีศรัทธาใน
พุทธศาสน์ มักทรงศีล เมื่อพรรษาทุกคน นอกจากการรักษาศีลแล้ว พุทธศาสนิกชนไทยในสมัยสุโขทัยนั้น
ยังได้บำเพ็ญกุศลอื่น ๆ ดังรายละเอียดปรากฏอยู่ในหนังสือนางนพมาศ พอ
สรุปได้ดังนี้ เมื่อถึงเดือน 8 ก็มีพระราชพิธีอาษาฒมาส พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปจะได้เข้าจำพรรษา
ในพระอารามต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้จัดแจงเสนาสนะถวาย
พร้อมทั้งบริขารอันควรแก่สมณะบริโภค เช่น เตียง ตั่ง เสื่อสาด เทียนจำนำพรรษา
เพื่อบูชาพระรัตนตรัย ในพระอารามหลวงทั่วราชอาณาจักร แม้ชาวเมืองสุโขทัย
ก็บำเพ็ญกุศลเช่นนี้ในวัดประจำตระกูลของตน
การบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษานี้ ยังมีประเพณีสำคัญอยู่ 2
ประเพณี ควรนำมากล่าวไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้
ประเพณีแห่เทียนพรรษาประเพณีนี้คงเกิดขึ้นจากความจำเป็นที่ว่า
สมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้กันดังปัจจุบัน เมื่อพระสงฆ์จำพรรษารวมกันมาก
ๆ ก็จะต้องปฏิบัติกิจวัตร เช่น การทำวัตรสวดมนต์เช้ามืดและตอนพลบคํ่า
การศึกษาพระปริยัติธรรม กิจกรรมเหล่านี้ล้วนต้องการแสงสว่าง โดยเฉพาะแสงสว่างจากเทียนที่พระสงฆ์จุดบูชาพระรัตนตรัย
และเพื่อต้องการใช้แสงสว่างโดยตรง ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนิกชน จึงนิยมหล่อเทียนต้นใหญ่
กะว่าจะจุดได้ตลอดเวลา 3 เดือน ไปถวายพระภิกษุในวัดใกล้ ๆ บ้าน เป็นพุทธบูชา
เทียนดังกล่าวเรียกว่า เทียนจำนำพรรษา ก่อนจะนำเทียนไปถวายนี้ ชาวบ้านมักจัดเป็นขบวนแห่แหนกันไปอย่างเอิกเกริก
สนุกสนาน เรียกว่า ประเพณีแห่เทียนจำนำพรรษา ดังขอสรุป เนื้อหาจากหนังสือนางนพมาศดังนี้
เมื่อถึงวันขึ้น 15 คํ่าทั้งทหารบกและทหารเรือก็จัดขบวนแห่เทียนจำนำพรรษา
ทั้งใส่คานหาบไปและลงเรือ ประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำ ประดับธงทิว ตีกลอง
เป่าแตรสังข์ แห่ไป ครั้นถึงพระอารามแล้ว ก็ยกต้นเทียนนั้นเข้าไปถวายในพระอุโบสถหอพระธรรมและพระวิหาร
จุดตามให้สว่างไสวในที่นั้น ๆ ตลอด 3 เดือน ดังนี้ทุกพระอาราม ในวัดราษฎร์ทั้งหลาย
ก็มีพิธีทำนองนี้ทั่วพระราชอาณาจักร ปัจจุบันประเพณีแห่เทียนจำนำพรรษานี้
ยังถือปฏิบัติกันอยู่ทั่วไป บางจังหวัด เช่น อุบลราชธานี ถือให้เป็นประเพณีเด่นประจำจังหวัดตน
ได้จัดประดับตกแต่งต้นเทียนใหญ่ๆ มีการประกวดแข่งขันแล้วแห่แหนไปถวายตามวัดต่าง
ๆ
ประเพณีถวายผ้าอาบนํ้าฝน
การถวายผ้าอาบนํ้าฝนนี้เกิดขึ้นแต่สมัยพุทธกาล คือ มหาอุบาสิกาชื่อว่า
วิสาขา ได้ทูลขอพระบรมพุทธานุญาต ให้พระสงม์ได้มีผ้าอาบนํ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนเวลาสรงนํ้าฝน
ระหว่างฤดูฝน นางวิสาขาจึงเป็นสตรีคนแรก ที่ได้รับพุทธานุญาตให้ถวายผ้าอาบนํ้าฝนแด่พระสงฆ์
ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงวันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชนตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
จึงนิยมนำผ้าอาบนํ้าฝน ไปถวายพระสงฆ์ผู้จะอยู่จำพรรษา พร้อมกับอาหารและเครื่องใช้ที่จำเป็นต่าง
ๆ แม้ในปัจจุบัน พุทธศาสนิกชนไทยก็ยังคงปฏิบัติกิจกรรมอย่างนี้อยู่
บางวัดมีการแจกฎีกานัดเวลาประกอบพิธีถวายผ้าอาบนํ้าฝน (วัสสิกสาฎก)
หรือผ้าจำนำพรรษาและเครื่องใช้อื่น ๆ ณ ศาลาบำเพ็ญกุศลของวัดใกล้บ้านตน
หลักธรรมที่ควรปฏิบัติ.-
ระหว่างเทศกาลเข้าพรรษานั้น
พุทธศาสนิกชนนิยมไปวัดถวายทาน รักษาศีล ฟังธรรม และเจริญจิตภาวนา ซึ่งเป็นการเว้นจากการกระทำความชั่ว
บำเพ็ญความดีและชำระจิตใจให้สะอาดแจ่มใสเคร่งครัดยิ่งขึ้น หลักธรรมสำคัญที่สนับสนุนคุณความดีดังกล่าวก็คือ
วิรัติ คำว่า วิรัติ หมายถึงการงดเว้นจากบาป และความชั่วต่าง ๆ
จักเป็นมงคลธรรมข้อหนึ่ง เป็นเหตุนำบุคคลผู้ปฏิบัติตามไปสู่ความสงบสุขปลอดภัย
และความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไป วิรัต การงดเว้นจากบาปนั้น จำแนกออก
ได้เป็น 3 ประการ คือ
สัมปัตตวิรัติ
ได้แก่ การงดเว้นจากบาป ความชั่วและอบายมุขต่าง ๆ ด้วยเกิดความรู้สึกละอาย
(หิริ) และเกิดความรู้สึกเกรงกลัวบาป(โอตตัปปะ) ขึ้นมาเอง เช่น บุคคลที่มิได้สมาทานศีลไว้เลย
เมื่อถูกเพื่อนคะยั้นคะยอให้ดื่มสุรา ก็ไม่ยอมดื่มเพราะละอาย และเกรงกลัวต่อบาปว่าไม่ควรที่ชาวพุทธ
จะกระทำเช่นนั้นในระหว่างพรรษา
สมาทานวิรัติ
ได้แก่ การงดเว้นจากบาป ความชั่วและอบายมุขต่าง ๆ ด้วยการสมาทานศีล
5 หรือศีล 8 จากพระสงฆ์โดยเพียรระวังไม่ทำให้ศีลขาดหรือด่างพร้อย แม้มีสิ่งยั่วยวนภายนอกมาเร้าก็ไม่หวั่นไหว
หรือเอนเอียง
สมุจเฉทวิรัติ
ได้แก่การงดเว้นจากบาป ความชั่วและอบายมุขต่าง ๆ ได้อย่างเด็ดขาดโดยตรงเป็นคุณธรรมของพระอริยเจ้า
ถึงกระนั้นสมุจเฉทวิรัติ อาจนำมาประยุกต์ใช้กับบุคคลผู้งดเว้นบาปความชั่วและอบายมุขต่าง
ๆ ในระหว่างพรรษากาลแล้วแม้ออกพรรษาแล้ว ก็มิกลับไปกระทำหรือข้องแวะอีก
เช่นกรณีผู้งดเว้นจากการดื่มสุรา และสิ่งเสพติดระหว่างพรรษากาล แล้วก็งดเว้นได้ตลอดไป
เป็นต้น
วัตถุประสงค์.-
-เพื่อให้พุทธศาสนิกชนมีความรู้ความเข้าใจ
เกี่ยวกับความสำคัญของวันเข้าพรรษา รวมทั้งหลักธรรมเรื่อง วิรัติ และแนวทางปฏิบัติ
-เพื่อให้พุทธศาสนิกชนมีทักษะในการคิด
และการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องในวันเข้าพรรษา และสามารถเลือกสรรหลักธรรมวิรัติ
3 ไปใช้ในการดำเนินชีวิต เพื่อพัฒนาตนและสังคม
-เพื่อให้พุทธศานิกชนเกิดเจตคติที่ดีต่อวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
และเห็นคุณค่าของการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมวิรัติ 3
-เพื่อให้พุทธศาสนิกชนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
และปฏิบัติตนตามหน้าที่ชาวพุทธได้อย่างถูกต้อง
กิจกรรม.-
กิจกรรมเกี่ยวกับครอบครัว
-
ทำความสะอาดบ้าน ประดับธงชาติและธงธรรมจักรจัดแต่งที่บูชาประจำบ้าน
-ศึกษาเอกสารหรือสนทนาเกี่ยวกับความสำคัญของวันเข้าพรรษา
รวมทั้งหลักธรรมเรื่อง วิรัติ และแนวทางปฏิบัติในครอบครัว
-สมาชิกในครอบครัว
ปรึกษา หารือหาแนวทางในการป้องกันการแก้ปัญหาโดยใช้หลักธรรม วิรัติ
3 และส่งเสริมให้เกิดการลด ละ เลิก อบายมุข
-นำครอบครัวไปบำเพ็ญกุศล
ทำบุญตักบาตร บริจาคทาน
-ปฏิบัติธรรมที่วัด
รักษาศีล ไหว้พระสวดมนต์ ฟังธรรมเจริญภาวนา
กิจกรรมเกี่ยวกับสถานศึกษา
-ทำความสะอาดบริเวณโรงเรียนประดับธงชาติและธงธรรมจักร
และจัดแต่งโต๊ะหมู่บูชา
-ครูและนักเรียนร่วมกันศึกษาถึงความสำคัญของวันเข้าพรรษา
รวมทั้งหลักธรรมเรื่อง วิรัติ และแนวทางปฏิบัติในสถานศึกษา
-ครูและนักเรียนจัดทำป้ายนิเทศ
หรือจัดนิทรรศการประกวดเรียงความ ทำสมุดภาพตอบปัญหาธรรม บรรยายธรรม
อภิปรายธรรม
-ครูให้นักเรียนจัดทำรายงานเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ดี
กับพฤติกรรมที่ไม่ดี และวางแผนพัฒนาพฤติกรรมของตน โดยมีเป้าหมายจะพัฒนาพฤติกรรมที่ดีให้มากขึ้น
และลดพฤติกรรมที่ไม่ดีให้น้อยลง
-ประกาศเกียรติคุณของนักเรียนที่ประพฤติตัวเป็นแบบอย่างที่ดี
-ครูพานักเรียนไปร่วมกิจกรรมกับชุมชนที่วัด
บำเพ็ญกุศล ทำบุญตักบาตร บริจาคทานรักษาศีล ฟังธรรม สนทนาธรรม เจริญภาวนา
กิจกรรมเกี่ยวกับสถานที่ทำงาน
-ทำความสะอาดบริเวณที่ทำงานประดับธงชาติและธงธรรมจักร
และจัดแต่งโต๊ะหมู่บูชา
-ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความสำคัญของวันเข้าพรรษารวมทั้งหลักธรรม
เรื่อง วิรัติ และแนวทางปฏิบัติในสถานที่ทำงาน
-จัดให้มีการบรรยายธรรม
และสนทนาธรรม
-ร่วมกันบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ปลูกต้นไม้
บริจาคโลหิต
-หัวหน้าหน่วยงานให้โอกาสผู้ร่วมงานไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีนิยม
-จัดทำป้ายนิเทศเกี่ยวกับอุดมการณ์ในการทำงาน
โดยมีเป้าหมายจะละเว้นการกระทำชั่วในเรื่องใดๆ
กิจธรรมเกี่ยวกับสังคม
-
วัด สมาคม มูลนิธิ หน่วยงาน
องค์กร สื่อมวลชนประชาสัมพันธ์เรื่องวันเข้าพรรษา โดยใช้สื่อทุกรูปแบบ
-จัดพิมพ์เอกสารเกี่ยวกับความสำคัญ
ของวันเข้าพรรษารวมทั้งหลักธรรมเรื่อง วิรัติ และแนวทางปฏิบัติ เพื่อเผยแพร่ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นและตามสถานที่ชุมชน
เช่น สนามบิน สถานี รถไฟ สถานีขนส่ง โรงธรรม ศูนย์การค้า รวมทั้งบนยานพาหนะต่าง
ๆ
-เชิญชวนให้ประชาชนทั่วไป
เข้าร่วมกิจกรรม ปฏิบัติธรรม และพิธีกรรมทางศาสนา เช่นทำบุญ ตักบาตร
ฟังธรรม รักษาศีล ไหว้พระสวดมนต์
-รณรงค์ทางสื่อมวลชนต่าง
ๆ ให้ลด ละ เลิก อบายมุขและให้งดจำหน่ายสิ่งเสพติดทุกชนิด
-ประกาศเกียรติคุณสถาบัน
หรือบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม
-รณรงค์ให้มีการรักษาสภาพแวดล้อม
ปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดที่สาธารณะ
-จัดประกวด
สวดสรภัญญะ บรรยายธรรม คำขวัญ บทร้อยกรอง บทความเกี่ยวกับวันเข้าพรรษา
ประโยชน์ที่จะได้รับ
-พุทธศาสนิกชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของวันเข้าพรรษา
รวมทั้งหลักธรรมเรื่อง วิรัติ และแนวทางปฏิบัติ
-พุทธศาสนิกชนเกิดเจตคติที่ดีต่อวันเข้าพรรษา
และเห็นคุณค่าของการดำเนินชีวิตตามหลักธรรม คือวิรัติ
-พุทธศานิกชนเกิดศัทธา
ซาบซึ้ง และ ตระหนักในความสำคัญของพระพุทธศาสนา
-พุทธศาสนิกชนเป็นพุทธศาสนิกชน
ที่ดีรู้จักปฏิบัติตนตามหน้าที่ชาวพุทธได้อย่างถูกต้อง
ที่มา.- พระเทพโสภณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ข้อมูลที่ควรดูเพิ่มเติม.-
วันออกพรรษา
หนังสืออ้างอิง.-
-บุญโฮม
ปริปุณฺณสีโล(ไชยฤทธิ์),พระมหา,คู่มือเรียนนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นโท,
ฉบับพิมพ์โรเนียวเย็บเล่ม, สำนักศาสนศึกษาวัดท่าไทร จ.สุราษฎร์ธานี,
๒๕๓๕
-บุญโฮม
ปริปุณฺณสีโล(ไชยฤทธิ์),พระมหา,ปัญหาและเฉลยสำหรับนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นโท,
ฉบับพิมพ์โรเนียวเย็บเล่ม, สำนักศาสนศึกษาวัดท่าไทร จ.สุราษฎร์ธานี,
๒๕๓๕
-ศูนย์พระสงฆ์นักเผยแผ่ธรรมะเพื่อพัฒนาสังคม,คู่มือธรรมศึกษาชั้นโท,
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๓ พ.ศ.๒๕๔๗,โรงพิมพ์เอกพิมพ์ไท จำกัด,กรุงเทพฯ,๒๕๔๗
|